คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7320/2543

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานฯมาตรา 91 ตรี ในคดีนี้จะเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ในคดีที่พนักงานอัยการฟ้องจำเลยเป็นอีกคดีหนึ่ง แต่ปรากฏในฎีกาของจำเลยเองว่า ขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้คดีความผิดฐานฉ้อโกงยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้นและคดีดังกล่าวเสร็จสิ้นไปเพราะศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเนื่องจากผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ อันถือไม่ได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยในคดีนี้แล้ว ฟ้องของโจทก์ในคดีนี้ จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีความผิดฐานฉ้อโกง สิทธินำคดีอาญามาฟ้อง ของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่ระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2)(4)
เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในคดีความผิดฐานฉ้อโกงเพราะจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นการบรรเทาผลร้ายให้จนเป็นที่พอใจแล้วและผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลย ประกอบกับจำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน สมควรรอการลงโทษเพื่อให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 4, 30, 82, 91 ตรี ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

จำเลยให้การรับสารภาพ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82, 91 ตรี เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาตจำคุก 3 ปี ฐานหลอกลวงผู้อื่นว่าหางานในต่างประเทศได้จำคุก 3 ปี รวมจำคุก 6 ปี จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 3 ปี

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องในความผิดฐานประกอบธุรกิจจัดหางานให้คนหางานเพื่อไปทำงานในต่างประเทศโดยไม่ได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางานพ.ศ. 2528 มาตรา 30 วรรคหนึ่ง, 82 คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 1 ปี 6 เดือนในความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528มาตรา 91 ตรี เพียงกระทงเดียว

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาว่าคดีนี้เป็นฟ้องซ้ำกับคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1339/2542 หมายเลขแดงที่ 23/2543 ของศาลชั้นต้น เพราะจำเลยหลอกลวงนางสาวฐิตารีย์ผู้เสียหายเพียงครั้งเดียวและพนักงานอัยการได้ฟ้องจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงเป็นคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1339/2542 หมายเลขแดงที่ 23/2543 ไปแล้วเมื่อวันที่ 3กันยายน 2542 การที่โจทก์มาฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้อีกจึงเป็นฟ้องซ้ำกับคดีดังกล่าว เห็นว่า แม้ความผิดตามพระราชบัญญัติจัดหางานและคุ้มครองคนหางาน พ.ศ. 2528 มาตรา 91 ตรี ในคดีนี้จะเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ในคดีหมายเลขแดงที่ 23/2543 ของศาลชั้นต้น แต่ก็ปรากฏในฎีกาของจำเลยเองว่าขณะที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้คดีหมายเลขแดงที่ 23/2543 ยังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลชั้นต้น และคดีดังกล่าวเสร็จสิ้นไปเพราะศาลชั้นต้นจำหน่ายคดีเนื่องจากนางสาวฐิตารีย์ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ อันถือไม่ได้ว่าศาลได้มีคำพิพากษาเสร็จเด็ดขาดในความผิดที่โจทก์ฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้แล้วฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับฟ้องของโจทก์ในคดีหมายเลขแดงที่ 23/2543 ของศาลชั้นต้น สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงยังไม่ระงับตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)(4)ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น ส่วนที่จำเลยขอให้รอการลงโทษ เห็นว่า ข้อเท็จจริงปรากฏว่าผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ในคดีหมายเลขแดงที่ 23/2543 ของศาลชั้นต้นเพราะจำเลยได้ชดใช้ค่าเสียหายอันเป็นการบรรเทาผลร้ายให้จนเป็นที่พอใจแล้ว และผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลย ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อน สมควรรอการลงโทษไว้เพื่อให้โอกาสจำเลยได้กลับตนเป็นพลเมืองดีต่อไป ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังขึ้น แต่เพื่อให้จำเลยหลาบจำและป้องกันไม่ให้จำเลยกลับไปกระทำความผิดอีก เห็นสมควรให้ลงโทษปรับจำเลยอีกสถานหนึ่งด้วย”

พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ลงโทษปรับ 60,000 บาทอีกสถานหนึ่ง ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ให้กึ่งหนึ่งแล้วคงปรับ 30,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1

Share