แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
เอกสารฉบับพิพาทไม่ใช่หนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกัน เป็นแต่เพียงหลักฐานการกู้ยืมเงินและหลักฐานการค้ำประกัน แม้โจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
โจทก์มิได้ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายความ แต่ ป.วิ.พ.มาตรา 167เป็นบทบัญญัติบังคับศาลต้องมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแม้ไม่มีผู้ขอก็ตาม ค่าทนายความเป็นค่าฤชาธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องนี้จึงหาได้เกินคำขอไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน๓๔๕,๐๐๐ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันครบกำหนดระยะเวลาตามหนังสือบอกกล่าวเป็นต้นไป จนกว่าจะชำระเสร็จ ดอกเบี้ยคิดถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๑,๑๔๙.๙๒ บาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น ๓๔๖,๑๔๙.๙๒ บาท
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยทั้งสองไม่เคยกู้ยืมเงินและค้ำประกันหนี้ตามฟ้อง เมื่อประมาณปลายปี ๒๕๓๖ จำเลยที่ ๑ เคยกู้ยืมเงินจากโจทก์จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ บาท ดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๕ บาทต่อเดือน ไม่ได้ทำหนังสือสัญญากู้ เพียงแต่โจทก์ให้จำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อไว้ในกระดาษเปล่าจำนวน๒ ชื่อ และต่อมาโจทก์ให้จำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อไว้ในกระดาษเปล่าจำนวน ๑ ชื่อเพื่อรับรู้ว่าจำเลยที่ ๑ กู้เงินจากโจทก์ ต่อมาวันที่ ๑๒ มิถุนายน ๒๕๓๘ จำเลยที่ ๒ชำระเงินกู้ดังกล่าวแก่โจทก์แล้ว โจทก์นำเอกสารที่จำเลยทั้งสองลงลายมือชื่อไว้มากรอกข้อความ โดยจำเลยทั้งสองไม่รู้เห็นและยินยอม จำเลยทั้งสองไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน๓๔๕,๐๐๐ บาท แก่โจทก์ พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จ คำขอนอกจากนี้ให้ยก
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า จำเลยที่ ๑ ลงลายมือชื่อเป็นผู้ก็ยืมในเอกสารหมาย จ.๒ และจำเลยที่ ๒ ลงลายมือชื่อเป็นผู้ค้ำประกันในเอกสารหมาย จ.๓
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองมีว่า จำเลยทั้งสองต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามเอกสารดังกล่าวหรือไม่ ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่าจำเลยที่ ๑ กู้ยืมเงินโจทก์จำนวน ๓๔๕,๐๐๐ บาท โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยทั้งสองจึงต้องรับผิดชำระเงินให้แก่โจทก์ตามเอกสารดังกล่าว
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองต่อไปว่า เอกสารหมายจ.๒ และ จ.๓ ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์จะรับฟังเป็นพยานหลักฐานได้หรือไม่ เห็นว่าเอกสารหมาย จ.๒ และ จ.๓ ไม่ใช่หนังสือสัญญากู้ยืมเงินและหนังสือสัญญาค้ำประกันเป็นแต่เพียงหลักฐานการกู้ยืมเงินและหลักฐานการค้ำประกัน แม้โจทก์มิได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้
ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองประการสุดท้ายมีว่า คดีนี้โจทก์มิได้ขอให้จำเลยใช้ค่าทนายความ แต่ศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยใช้ค่าทนายความเป็นการพิพากษาเกินคำขอหรือไม่ เห็นว่า ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๑๖๗ บัญญัติว่า คำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมนั้น ไม่ว่าคู่ความทั้งปวงหรือแต่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจักมีคำขอหรือไม่ก็ดี ให้ศาลสั่งลงไว้ในคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดคดีหรือในคำสั่งจำหน่ายคดีออกจากสารบบความแล้วแต่กรณี เป็นบทบัญญัติบังคับศาลต้องมีคำสั่งในเรื่องค่าฤชาธรรมเนียมแม้ไม่มีผู้ขอก็ตาม ค่าทนายความเป็นค่าฤชาธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ศาลชั้นต้นและชั้นอุทธรณ์มีคำสั่งในเรื่องนี้จึงชอบแล้วหาได้เกินคำขอไม่
พิพากษายืน.