คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7305/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

แม้ทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาเป็นเงิน 216,326 บาทแต่มูลหนี้ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฎีกาของจำเลยแยกออกตามฟ้องเป็น 3 จำนวน คือ หนี้ตามสัญญาเช่ารถชุดเกรดถนนจำนวน 31,125 บาท หนี้ตามสัญญาซื้อขายหินคลุกจำนวน72,720 บาท และหนี้ตามสัญญาจ้างทำของค่าราดยางถนนจำนวน 112,481 บาท หนี้ตามสัญญาเช่าทรัพย์ หนี้ตามสัญญาซื้อขายและหนี้ตามสัญญาจ้างทำของตามฟ้องฎีกาของจำเลยต่างเป็นหนี้คนละรายโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกันมูลความแห่งคดีของหนี้ทั้งสามรายจึงสามารถแยกออกจากกันได้ดังนั้น ทุนทรัพย์ในคดีที่จะนำมาพิจารณาว่าต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ จึงต้องแยกตามสัญญาเป็นคนละส่วนกันเมื่อปรากฏว่ามูลหนี้ที่พิพาทกันแต่ละสัญญามีจำนวนไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยใช้เงินจำนวน 1,181,673 บาทแก่โจทก์ พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงิน1,157,182 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ

จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน 585,310 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24 มิถุนายน2539 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์ แต่ดอกเบี้ยคำนวณถึงวันฟ้อง(วันที่ 13 กันยายน 2539) ต้องไม่เกิน 24,491 บาท

โจทก์และจำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยใช้เงินจำนวน534,810 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับแต่วันที่ 24มิถุนายน 2539 จนกว่าชำระเสร็จแก่โจทก์

จำเลยฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้แม้จำเลยจะระบุมาในฎีกาว่าคดีจำเลยมีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาเป็นเงิน 216,326 บาทแต่มูลหนี้ที่พิพาทกันในชั้นฎีกาตามฎีกาของจำเลย จำเลยก็ได้แยกออกตามฟ้องเป็น 3 จำนวน คือ หนี้ตามสัญญาเช่ารถชุดเกรดถนนจำนวน31,125 บาท หนี้ตามสัญญาซื้อขายหินคลุกจำนวน 72,720 บาทและหนี้ตามสัญญาจ้างทำของค่าราดยางถนนจำนวน 112,481 บาทหนี้ตามสัญญาเช่าทรัพย์ หนี้ตามสัญญาซื้อขายและหนี้ตามสัญญาจ้างทำของตามฟ้องฎีกาของจำเลย ต่างเป็นหนี้คนละรายโดยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกัน มูลความแห่งคดีของหนี้ทั้งสามรายจึงสามารถแยกออกจากกันได้ ดังนั้น ทุนทรัพย์ในคดีที่จะนำมาพิจารณาว่า ต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในข้อเท็จจริงหรือไม่ จึงต้องแยกออกตามสัญญาเช่าทรัพย์สัญญาซื้อขายและสัญญาจ้างทำของเป็นคนละส่วนกัน เมื่อปรากฏว่ามูลหนี้ที่พิพาทกันแต่ละสัญญามีจำนวนไม่เกินสองแสนบาท จึงต้องห้ามมิให้จำเลยฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 248 วรรคหนึ่ง ที่จำเลยฎีกาโต้เถียงว่าพยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบไม่น่าเชื่อถือ และไม่น่ารับฟังว่าจำเลยตกลงเช่ารถชุดเกรดถนนจากโจทก์เป็นเงินวันละ 18,000 บาท ก็ดี พื้นที่ถนนที่จำเลยว่าจ้างให้โจทก์ราดยางมิได้มากตามที่โจทก์นำสืบก็ดี และจำเลยมิได้ซื้อหินคลุกตามฟ้องจากโจทก์ แต่โจทก์เป็นเพียงตัวแทนซื้อหินคลุกให้จำเลยก็ดีล้วนแต่เป็นฎีกาที่โต้เถียงดุลพินิจในการชั่งน้ำหนักรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 3 ทั้งสิ้น จึงเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงต้องห้ามตามบทกฎหมายดังกล่าว ที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยจึงเป็นการไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้”

พิพากษายกฎีกาของจำเลย

Share