แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์ในวันทำสัญญาซื้อขายโจทก์ได้ชำระเงินมัดจำบางส่วน เงินค่าที่ดินส่วนที่เหลือจำเลยจะขอรับเอาเมื่อจำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินให้โจทก์เสร็จและในระหว่างที่ยังไม่โอนที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยได้มอบที่ดินซึ่งซื้อขายให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ ดังนี้ คำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองของโจทก์โดยละเอียด และแจ้งชัดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้วฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม
โจทก์ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาจะซื้อจะขาย จึงเป็นการครอบครองที่พิพาทแทนจำเลย จำเลยย่อมมีสิทธิที่จะเข้าครอบครองที่พิพาทเมื่อใดก็ได้ และเมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการเข้าครอบครองที่ของตนเองหาใช่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จึงไม่อาจนำบทบัญญัติมาตรา 1375 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาใช้บังคับได้
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นเจ้าของและมีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า ๑ แปลง ตั้งอยู่ที่ตำบลกังแอน อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เนื้อที่ประมาณ ๔ ไร่ มีอาณาเขตติดต่อตามแผนที่ท้ายฟ้อง เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๑๕จำเลยขายที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๓,๘๐๐ บาท ทำสัญญาซื้อขายกันไว้โจทก์ได้ชำระเงินมัดจำไว้เป็นเงิน ๑,๕๐๐ บาท ในวันทำสัญญา เงินส่วนที่เหลือจำเลยจะรับเมื่อจำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์ จำเลยได้มอบการครอบครองที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ทำประโยชน์ตั้งแต่วันทำสัญญาปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายสัญญาซื้อขายท้ายฟ้อง โจทก์ได้เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวในฐานะเป็นเจ้าของโดยสงบและเปิดเผยถึงปัจจุบันเป็นเวลาเกินกว่า ๑๐ ปีแล้ว และในระหว่างโจทก์ครอบครองที่ดินดังกล่าวโจทก์ได้บอกกล่าวให้จำเลยไปทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนขายที่ดังกล่าวต่อพนักงานเจ้าหน้าที่หลายครั้ง จำเลยขอผัดผ่อนเรื่อยมา ต่อมาเมื่อระหว่างเดือนมิถุนายน ๒๕๒๗ จำเลยได้เข้าไปครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว โจทก์บอกกล่าวให้จำเลยออกไปและให้ไปทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้โจทก์ จำเลยปฏิเสธ โจทก์จึงไปร้องทุกข์ต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอปราสาทเมื่อเดือนธันวาคม ๒๕๒๗ พนักงานเจ้าหน้าที่ได้เรียกโจทก์จำเลยไปทำความตกลงกัน แต่ไม่อาจตกลงกันได้ การกระทำของจำเลยเป็นการโต้แย้งสิทธิการครอบครองของโจทก์ ขอให้พิพากษาว่าที่พิพาทตามแผนที่ท้ายฟ้องเป็นของโจทก์และโจทก์มีสิทธิครอบครอง และบังคับให้จำเลยรับเงินจำนวน ๒,๓๐๐ บาทไปจากโจทก์ และไปทำการจดทะเบียนสิทธิให้แก่โจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาของศาลเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย กับห้ามจำเลยและบริวารเข้าเกี่ยวข้องในที่พิพาทต่อไป
จำเลยให้การและแก้ไขคำให้การว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองในที่ดิน ๑ แปลง และว่าที่ดินดังกล่าวโจทก์ซื้อมาจากจำเลย แต่ยังไม่ได้โอน โจทก์จึงมิใช่ผู้มีสิทธิครอบครอง จำเลยไม่สามารถเข้าใจฟ้องได้ดี ฟ้องโจทก์จึงเคลือบคลุม จำเลยไม่เคยทำสัญญาขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ สัญญาดังกล่าวโจทก์กับพวกร่วมกันปลอมขึ้น ที่พิพาทเป็นส่วนหนี่งของที่นาจำเลยซึ่งมีเนื้อที่ ๑๔ ไร่ ๒ งาน ๕๘ ตารางวา ปรากฏตามสำเนาภาพถ่ายหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ท้ายคำให้การ เมื่อปีพ.ศ.๒๕๑๕ จำเลยขายที่ดินให้แก่โจทก์เป็นเงิน ๘,๐๐๐ บาท โจทก์ชำระเงินให้แก่จำเลย ๙๐๐ บาท และตกลงกันว่าเมื่อชำระครบจะโอนที่พิพาทให้แก่โจทก์ ได้ทำสัญญาซื้อขายกันไว้ ๑ ฉบับ โดยจำเลยเป็นผู้ทำสัญญาดังกล่าวมีตัวพิมพ์บางส่วนและตัวเขียนด้วยลายมือจำเลยบางส่วน แต่จำเลยไม่ได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้ขายเพราะโจทก์ยังชำระเงินไม่ครบ โจทก์ได้ยึดสัญญาดังกล่าวไว้ และจำเลยได้มอบที่พิพาทให้โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ในปี พ.ศ.๒๕๑๖ปีต่อ ๆ มาโจทก์ไม่ชำระค่าซื้อขายที่พิพาท จำเลยทวงถาม โจทก์ผัดผ่อนทุกปีต่อมาเมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๓ จำเลยจึงบอกเลิกสัญญาและขับไล่โจทก์พร้อมบริวารออกไปจากที่พิพาท และเข้าครอบครองทำประโยชน์โดยสงบ เปิดเผย ด้วยเจตนาเป็นเจ้าของเกินกว่า ๑ ปีแล้ว ไม่มีผู้ใดคัดค้าน จำเลยจึงได้สิทธิครอบครองโจทก์ไม่เคยบอกกล่าวให้จำเลยไปโอนที่พิพาท และหลังจากจำเลยบอกเลิกสัญญาและขับไล่โจทก์ออกไปจากที่พิพาท โจทก์ไม่เคยเข้ามาเกี่ยวข้องจนกระทั่งปีพ.ศ.๒๕๒๗ โจทก์กับพวกร่วมกันปลอมแปลงเอกสารขึ้นและนำไปร้องเรียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ เพื่อกลั่นแกล้งจำเลย และโจทก์ฟ้องหลัง ๑ ปี นับแต่วันที่มีการโต้แย้งสิทธิ คดีโจทก์ขาดอายุความ ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินตาม น.ส.๓เลขที่ ๕๑๙ ตามเอกสารหมาย ล.๓ เฉพาะส่วนที่พิพาท ตามรูปแผนที่พิพาทให้แก่โจทก์ภายในกำหนด ๓๐ วัน นับแต่วันพิพากษา แล้วรับเงินจำนวน ๒,๓๐๐ บาทจากโจทก์ หากจำเลยไม่ปฏิบัติตาม ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย คำขออื่นให้ยก
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ในปัญหาที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า๑ แปลง เมื่อวันที่ ๒๖ มีนาคม ๒๕๑๕ จำเลยได้ตกลงขายที่ดินดังกล่าวให้โจทก์เป็นเงิน ๓,๘๐๐ บาท ในวันทำสัญญาซื้อขาย โจทก์ได้ชำระเงินค่ามัดจำจำนวน๑,๕๐๐ บาทให้จำเลยแล้ว คงค้างชำระอีก ๒,๓๐๐ บาท จำนวนเงินที่ค้างชำระจำเลยจะขอรับเอาเมื่อจำเลยได้ทำนิติกรรมจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์เสร็จและในระหว่างที่ยังไม่ได้ทำนิติกรรมโอนให้แก่โจทก์ จำเลยได้มอบที่ดินซึ่งซื้อขายให้แก่โจทก์ครอบครองทำประโยชน์ เห็นว่า คำฟ้องของโจทก์ดังกล่าว โจทก์ได้บรรยายถึงการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองของโจทก์ในที่ดินตามฟ้องว่าได้มาอย่างไรโดยละเอียดและแจ้งชัดพอที่จำเลยจะเข้าใจข้อหาได้ดีแล้ว ฟ้องโจทก์จึงไม่เคลือบคลุม และวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่า พยานหลักฐานโจทก์มีน้ำหนักดีกว่าพยานหลักฐานจำเลย ฟังได้ว่าจำเลยตกลงจะขายที่ดินให้แก่โจทก์ตามสัญญาจะซื้อจะขายเอกสารหมาย จ.๑ ส่วนปัญหาว่าโจทก์ฟ้องเรียกที่พิพาทคืนเกินกำหนดระยะเวลาตามกฎหมายหรือไม่ ได้ความว่าโจทก์ครอบครองที่พิพาทตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๑ ซึ่งเป็นสัญญาจะซื้อจะขาย โจทก์จึงครอบครองที่พิพาทแทนจำเลย จำเลยมีสิทธิที่จะเข้าครอบครองที่พิพาทเมื่อใดก็ได้ เมื่อจำเลยเข้าครอบครองที่พิพาทก็เป็นการเข้าครอบครองที่ของตนเอง หาใช่เป็นการแย่งการครอบครองไม่ จึงจะนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๓๗๕มาใช้บังคับเกี่ยวกับคดีนี้หาได้ไม่ ศาลล่างทั้งสองพิพากษามาชอบแล้ว ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยทุกข้อฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.