คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7301/2544

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์รู้อยู่แล้วในขณะที่ซื้อที่ดินพิพาทว่าจำเลยที่ 2 ได้ที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ 1 โดยมิชอบ ถือได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ 2 โดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่อาจอ้างเอาการมีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้จำเลยที่ 1 ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงในที่ดินพิพาทได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้อง ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองพร้อมบริวารออกไปจากที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๐๔๘ ของโจทก์ภายใน ๗ วัน นับแต่ศาลมีคำพิพากษา และให้จำเลยทั้งสองใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ๘,๒๐๐ บาท กับค่าเสียหายรายวันวันละ ๒๐๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะออกไปจากที่ดินดังกล่าว
จำเลยที่ ๑ ให้การและฟ้องแย้งว่า โจทก์ จำเลยที่ ๒ และนายโพธิ์ ร่วมกันฉ้อฉลจำเลยที่ ๑ โจทก์รับโอนที่ดินดังกล่าวมาโดยไม่สุจริต เพราะทราบอยู่แล้วว่าจำเลยที่ ๒ ได้ที่ดินมาโดยมิชอบ โจทก์จึงไม่ได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินดังกล่าว ไม่มีอำนาจฟ้องขับไล่จำเลยที่ ๑ และบริวาร ขอให้ยกฟ้องและเพิกถอนการจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๓๖ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ เมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๓๖ ระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ เมื่อวันที่ ๑๖ (ที่ถูก ๒๖) สิงหาคม ๒๕๓๖ ระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ โดยให้โจทก์เป็นผู้เสียค่าธรรมเนียมและค่าใช้จ่ายทั้งหมด
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การซื้อขายที่ดินระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ ไม่มีชื่อนายโพธิ์มาเกี่ยวข้อง จำเลยที่ ๒ จึงเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินโดยชอบด้วยกฎหมาย โจทก์ซื้อที่ดินมาโดยสุจริต ไม่ทราบถึงความผูกพันระหว่างจำเลยที่ ๑ ที่ ๒ และนายโพธิ์ ขอให้ยกฟ้องแย้ง
จำเลยที่ ๒ ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง และให้เพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินโฉนดเลขที่ ๑๑๐๔๘ เลขที่ดิน ๒๙๘ ตำบลหนองผึ้ง อำเภอสารภี จังหวัดเชียงใหม่ ลงวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๓๖ ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒ จำนวน ๑ ไร่ และแก้ไขใหม่ว่าจำเลยที่ ๑ ขายให้จำเลยที่ ๒ จำนวน ๑๐๐ ส่วน ใน ๔๐๐ ส่วน และให้เพิกถอนการจดทะเบียนกรรมสิทธิ์รวมระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ ลงวันที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๓๖ และแก้ไขใหม่ว่า จำเลยที่ ๒ ให้โจทก์เข้าถือกรรมสิทธิ์รวมเฉพาะส่วนแทนตน ๑๐๐ ส่วน ใน ๔๐๐ ส่วน จำเลยที่ ๑ ยังถือกรรมสิทธิ์ ๓๐๐ ส่วน ใน ๔๐๐ ส่วน และเพิกถอนการจดทะเบียนขายที่ดินเฉพาะส่วนระหว่างจำเลยที่ ๒ กับโจทก์ ลงวันที่ ๒๖ สิงหาคม ๒๕๓๖ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลยที่ ๑ โดยกำหนดค่าทนายความ ๕,๐๐๐ บาท
โจทก์อุทธรณ์
ระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ภาค ๒ จำเลยที่ ๑ ถึงแก่กรรม นางบัวจิ๋น ณ เชียงใหม่ ทายาทของจำเลยที่ ๑ ยื่นคำร้องขอเข้าเป็นคู่ความแทน ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ อนุญาต
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยแล้ว ปัญหาตามฎีกาของโจทก์มีว่า โจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๒ โดยสุจริตหรือไม่…พฤติการณ์ของโจทก์จึงนับว่าเป็นเรื่องที่ผิดปกติวิสัย แม้โจทก์จะมิได้ร่วมด้วยในการที่จำเลยที่ ๒ กระทำทุจริตต่อจำเลยที่ ๑ แต่ก็น่าเชื่อว่า โจทก์รู้อยู่แล้วในขณะที่ซื้อที่ดินพิพาทว่าจำเลยที่ ๒ ได้ที่ดินพิพาทมาจากจำเลยที่ ๑ โดยมิชอบ ถือได้ว่าโจทก์ซื้อที่ดินพิพาทจากจำเลยที่ ๒ โดยไม่สุจริต โจทก์จึงไม่อาจอ้างเอาการมีชื่อในโฉนดที่ดินพิพาทขึ้นต่อสู้จำเลยที่ ๑ ผู้เป็นเจ้าของที่แท้จริงในที่ดินพิพาทได้ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share