คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 415/2544

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯมาตรา 15 วรรคหนึ่ง,66 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามคงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้ ลงโทษจำเลยฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษฯ มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะใช้ถ้อยคำว่าให้ยกฟ้องข้อหามีเมทแอมเฟตามีน ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายด้วยก็ตาม แต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ก็มีผลเป็นการแก้เฉพาะบทลงโทษเท่านั้น มิได้แก้กำหนดโทษถือว่า ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง
ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 47 เม็ด ผิดปกติวิสัยของผู้ติดยาเสพติดซึ่งจะมีไว้เพื่อเสพเองและจำเลยมีพฤติการณ์จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนนั้น เป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการรับรองหรืออนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 67

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง จำคุก 5 ปี คำให้การจำเลยในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 แล้ว คงจำคุก 3 ปี 4 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67ให้ยกฟ้องข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

โจทก์และจำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาและลงชื่อในคำพิพากษาศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ให้จำคุก 5 ปี ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 แล้วคงจำคุก 3 ปี 4 เดือน ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 67 ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์ภาค 7 จะใช้ถ้อยคำว่าให้ยกฟ้องข้อหามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตด้วยก็ตามแต่คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 ก็มีผลเป็นการแก้เฉพาะบทลงโทษเท่านั้นมิได้แก้กำหนดโทษ ถือว่าศาลอุทธรณ์ภาค 7พิพากษาแก้ไขเล็กน้อยและให้ลงโทษจำคุกจำเลยไม่เกินห้าปี จึงห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 218 วรรคหนึ่ง ที่โจทก์ฎีกาว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน47 เม็ด ผิดปกติวิสัยของผู้ติดยาเสพติดประเภทนี้ซึ่งจะมีไว้เพื่อเสพเองเพียง1 ถึง 2 เม็ด เท่านั้น จำเลยถูกจับบริเวณไร่อ้อยมีคนงานตัดอ้อยโดยจำเลยไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเข้าไปในไร่อ้อย พฤติการณ์แห่งคดีฟังได้ว่าจำเลยจะนำเมทแอมเฟตามีนไปจำหน่ายแก่คนงานตัดอ้อยเป็นการโต้แย้งดุลพินิจในการรับฟังพยานหลักฐานของศาลอุทธรณ์ภาค 7 ที่วินิจฉัยว่า พยานหลักฐานของโจทก์รับฟังได้เพียงว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ฎีกาของโจทก์เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง เมื่อไม่ปรากฏว่ามีการรับรองหรืออนุญาตให้โจทก์ฎีกาในปัญหาดังกล่าว ฎีกาของโจทก์จึงต้องห้ามตามบทกฎหมายข้างต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะตามฎีกาของจำเลยซึ่งได้รับอนุญาตให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเท่านั้นทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า ก่อนเกิดเหตุเจ้าพนักงานตำรวจสืบทราบว่า จำเลยลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนและเคยไปตรวจค้นบ้านจำเลย แต่ไม่พบของผิดกฎหมาย แต่จำเลยยังมีพฤติการณ์เหมือนเดิม วันที่ 27 สิงหาคม 2540เวลาประมาณ 11 นาฬิกา ขณะที่จ่าสิบตำรวจสุรเชษฐ์ นาคหาญ และสิบตำรวจโทสมควร มาสันเที๊ยะ เจ้าพนักงานตำรวจสถานีตำรวจภูธรอำเภอด่านทับตะโกออกตรวจท้องที่ได้รับแจ้งจากสายลับว่าจำเลยกำลังนำเมทแอมเฟตามีนไปจำหน่ายให้แก่คนงานตัดอ้อยในหมู่ที่ 7 ตำบลด่านทับตะโกจึงไปดักรอจับกุม ต่อมาเวลาประมาณ 12 นาฬิกา จำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาจึงขอตรวจค้น พบเมทแอมเฟตามีน 47 เม็ด ซุกซ่อนในผ้าขาวม้าที่จำเลยใช้โพกศีรษะอยู่ จำเลยรับสารภาพว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวเป็นของตนมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย ชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนเจ้าพนักงานตำรวจแจ้งข้อหาจำเลยว่ามียาเสพติดให้โทษในประเภท 1ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายจำเลยให้การรับสารภาพ

จำเลยนำสืบว่า วันเกิดเหตุขณะที่จำเลยขับรถจักรยานยนต์มีนางทัพใจจง พี่สาวจำเลยนั่งซ้อนท้ายมาถึงที่เกิดเหตุ พบเจ้าพนักงานตำรวจนั่งรถยนต์กระบะสวนทางมาและขับรถปาดหน้ารถของจำเลยจนล้ม เจ้าพนักงานตำรวจค้นตัวและผ้าขาวม้าที่จำเลยใช้โพกศีรษะ แต่ไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายเจ้าพนักงานตำรวจนำผ้าขาวม้าไปที่ท้ายรถของเจ้าพนักงานตำรวจแล้วกลับมาหาจำเลยแจ้งว่าพบเมทแอมเฟตามีน 47 เม็ด เจ้าพนักงานตำรวจขู่เข็ญว่าหากจำเลยไม่รับสารภาพแล้วจะใส่ความว่าจำเลยมีเมทแอมเฟตามีนจำนวนมากขึ้น และจะจับกุมนางทัพด้วย จำเลยกลัวจึงรับสารภาพเจ้าพนักงานตำรวจพาจำเลยไปที่สถานีตำรวจและจับมือพิมพ์ลายนิ้วมือในบันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การ

พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ในเบื้องต้นว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุดังฟ้อง เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยและยึดเมทแอมเฟตามีน47 เม็ด เป็นของกลาง มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า จำเลยกระทำความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตดังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 7 หรือไม่ โจทก์มีจ่าสิบตำรวจสุรเชษฐ์นาคหาญ และสิบตำรวจโทสมควร มาสันเที๊ยะ ผู้จับกุมจำเลยเป็นพยานเบิกความว่า ก่อนจับกุมได้สืบทราบว่าจำเลยกับสามีลักลอบจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนมาเป็นเวลานาน พยานเคยไปตรวจค้นบ้านจำเลยแต่ไม่พบของผิดกฎหมายตามหมายค้น แต่ก็ได้ติดตามดูพฤติการณ์ตลอดมาจนกระทั่งวันเกิดเหตุเวลาประมาณ 11 นาฬิกา ขณะที่พยานกับพวกออกตรวจท้องที่ได้มีสายลับมาแจ้งว่าจำเลยจะนำเมทแอมเฟตามีนไปจำหน่ายให้คนงานตัดอ้อยจึงไปดักรออยู่ จนกระทั่งเวลาประมาณ 12 นาฬิกา พบจำเลยขับรถจักรยานยนต์ผ่านมาจึงขอตรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลาง47 เม็ด อยู่ในผ้าขาวม้าที่จำเลยใช้โพกศีรษะจึงจับกุมโดยแจ้งข้อหาจำเลยว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมและโจทก์มีร้อยตำรวจเอกชุมพล สานพคุณ พนักงานสอบสวนเบิกความว่า ได้แจ้งข้อหาจำเลยว่ามีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำเลยให้การรับสารภาพ เห็นว่า พยานโจทก์ทุกปากเป็นเจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ เบิกความได้สอดคล้องต้องกันและสอดคล้องกับหมายค้น บันทึกการตรวจค้น บันทึกการจับกุมและบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาทั้งจำเลยก็รับสารภาพในทันทีที่ถูกจับกุมซึ่งบันทึกการจับกุมได้กระทำในบริเวณที่จับจำเลยได้จำเลยยังไม่มีเวลาพอที่จะคิดแต่งเติมข้อเท็จจริงให้ผิดไปเป็นอย่างอื่น ชั้นสอบสวนจำเลยก็รับสารภาพโดยสมัครใจ จึงมีน้ำหนักให้เชื่อได้ว่าเจ้าพนักงานตำรวจค้นพบเมทแอมเฟตามีนของกลางได้จากตัวจำเลย ที่จำเลยอ้างว่า จ่าสิบตำรวจสุรเชษฐ์และสิบตำรวจโทสมควร มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยเนื่องจากบุคคลทั้งสองเคยขอใช้บ้านจำเลยเปิดบ่อนการพนัน แต่จำเลยไม่ยอมจึงหาเรื่องเอาเมทแอมเฟตามีนมายัดเยียดให้จำเลยนั้น ไม่มีเหตุผลให้น่าเชื่อถือเพราะขัดแย้งกับที่จำเลยให้การในชั้นสอบสวนว่าจำเลยรู้จักเจ้าพนักงานตำรวจผู้จับกุมและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกับเจ้าพนักงานตำรวจดังกล่าว ส่วนที่จำเลยและนางทัพ ใจจง พยานจำเลยอ้างว่านางทัพได้นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ของจำเลยมาด้วยในวันเกิดเหตุ ก็ไม่ปรากฏจากคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนเช่นนั้น หากมีนางทัพและนายเสมอบุญคุ้มพยานจำเลยอยู่รู้เห็นเหตุการณ์ว่าเจ้าพนักงานตำรวจยัดเยียดเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่จำเลยในขณะที่จำเลยถูกจับกุมดังที่จำเลยอ้างแล้ว จำเลยก็น่าจะให้การปฏิเสธในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนโดยอ้างบุคคลทั้งสองเป็นพยานด้วย แต่ก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กระทำเช่นนั้นแม้จำเลยจะอ่านหนังสือไม่ออก เขียนหนังสือไม่ได้ต้องใช้วิธีพิมพ์ลายนิ้วมือแทนการลงลายมือชื่อ แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการบังคับขู่เข็ญให้จำเลยให้การรับสารภาพในชั้นจับกุมและชั้นสอบสวนแต่อย่างใด พยานหลักฐานของจำเลยไม่มีน้ำหนักพอที่จะรับฟังหักล้างพยานหลักฐานของโจทก์ได้ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีเมทแอมเฟตามีนไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share