แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
การที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงานและทำลายบัตรประจำตัวข้าราชการ แต่ในคำขอท้ายฟ้องมิได้อ้างมาตรา 138, 140, 188 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ซึ่งเป็นบทลงโทษมาด้วยนั้น ย่อมลงโทษจำเลยตามมาตรา 138, 140, 188 ไม่ได้ และการที่โจทก์อ้างประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ลงวันที่ 21 พฤศจิกายน 2514 ข้อ 2 ซึ่งบัญญัติให้เรียงกระทงลงโทษมาด้วย ก็ไม่พอจะอนุมานว่าโจทก์ได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่มิได้อ้าง
ความผิดฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนโดยมิได้รับอนุญาตนั้น แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดในขณะฟ้องและศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษมา แต่เมื่อคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 มาตรา 3 ยอมให้ผู้มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนไว้โดยไม่ได้รับอนุญาต นำไปขอรับอนุญาตภายใน 90 วัน โดยผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานนี้ และแม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในประเด็นนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
ย่อยาว
โจกท์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายบทต่างกรรมกัน กล่าวคือ
ก.จำเลยบังอาจมีอาวุธปืนพกรีวอลเวอร์ชนิดประกอบขึ้นเอง ขนาด .๒๒ จำนวน ๑ กระบอก ไม่มีเครื่องหมายทะเบียนของพนักงานเจ้าหน้าที่ พร้อมด้วยกระสุนปืนลูกกรดขนาด .๒๒ (แมกนั่ม) จำนวน ๗ นัด อันเป็นอาวุธปืน กระสุนปืนที่ใช้ยิงได้ไว้ในความครอบครองโดยมิได้รบใบอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่
ข.ขณะสิบตำรวจตรีเสมอ เอี่ยมประชา เจ้าหน้าที่ตำรวจสถานีตำรวจนครบาลบางซื่อได้แสดงตัวต่อจำเลยว่าเป็นเจ้าพนักงาน โดยยื่นบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจให้จำเลยตรวจดู เพื่อทำการจับกุมจำเลยในข้อหาพรากผู้เยาว์ จำเลยได้ต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของสิบตำรวจตรีเสมอ เอี่ยมประชา เจ้าพนักงานซึ่งปฏิบัติการตามหน้าที่ โดยใช้อาวุธปืนดังกล่าวบังคับขู่เข็ญว่าจะยิงสิบตำรวจตรีเสมอ เอี่ยมประชา กับพวก จนเป็นเหตุให้สิบตำรวจตรีเสมอ เอี่ยมประชา กับพวกจำต้องหลบหนีไปจากที่เกิดเหตุชั่วขณะ
ค.จำเลยบังอาจทำให้เสียหาย โดยฉีกทำลายบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจของสิบตำรวจตรีเสมอ เอี่ยมประชา ซึ่งยื่นแสดงแก่จำเลยออกเป็นชิ้นๆ
เจ้าพนักงานจับจำเลยได้พร้อมด้วยอาวุธปืน กระสุนปืน และบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจที่ถูกจำเลยทำลายเป็นของกลาง ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ ริบอาวุธปืนและกระสุนปืนของกลาง คืนบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจแก่เจ้าของ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. ๒๔๙๐ มาตรา ๗, ๗๒ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๔) พ.ศ. ๒๕๑๐ มาตรา ๓ พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๑๗ มาตรา ๓ ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ข้อ ๒ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ กึ่งหนึ่งแล้วคงจำคุก ๓ เดือน ปรับ ๑,๕๐๐ บาท ไม่ชำระค่าปรับตัวข้าราชการตำรวจแก่เจ้าของ โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ ๒ ปี ข้อหาอื่นโจทก์ไม่ขอให้ลงโทษ
โจทก์อุทธรณ์ว่า โจทก์ได้บรรยายฟ้องข้อ ข. และ ค. ไว้โดยละเอียดพอสมควร จึงพออนุมานได้ว่าโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๓๘, ๑๔๐, ๑๘๘ ด้วย และไม่ควรรอการลงโทษจำเลย
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า ให้รอการลงโทษจำเลยไว้ภายใน ๕ ปี นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาโจทก์ว่าการที่โจทก์บรรยายฟ้องไว้ในข้อ ข. และ ค. ว่าจำเลยได้ต่อสู้ขัดขวางการจับกุมของเจ้าพนักงาน และทำลายบัตรประจำตัวข้าราชการตำรวจ แต่ในคำขอท้ายฟ้องของโจทก์มิได้อ้างบทมาตรา ๑๓๘, ๑๔๐, ๑๘๘ แห่งประมวลกฎหมายอาญาซึ่งเป็นบทลงโทษมาด้วย จะลงโทษจำเลยตามตัวบทกฎหมายดังกล่าวได้หรือไม่ เห็นว่าเมื่อฟ้องของโจทก์ไม่ได้อ้างบทมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นเป็นความผิด ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา ๑๕๘ (๖) และเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์สำหรับการกระทำผิดตามที่บรรยายฟ้องมา จึงลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๓๘, ๑๔๐, ๑๘๘ ไม่ได้ การที่โจทก์อ้างประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ ๑๑ ลงวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๑๔ ข้อ ๒ ซึ่งบัญญัติให้เรียกกระทงลงโทษมาด้วย ก็ไม่พอจะอนุมานว่าโจทก์ได้ขอให้ลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่มิได้อ้างมาเพื่อลงโทษจำเลยได้และเห็นว่าสำหรับความผิดฐานมีอาวุธปืนและกระสุนปืนไว้โดยมิได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนท้องที่นั้น แม้การกระทำของจำเลยจะเป็นความผิดในขณะฟ้อง และศาลล่างทั้งสองพิพากษาลงโทษมา แต่เมื่อคดีมาสู่ศาลฎีกาและอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิงและสิ่งเทียมอาวุธปืน (ฉบับที่ ๖) พ.ศ. ๒๕๑๘ มาตรา ๓ ยอมให้ผู้มีอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืนฯ ไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตนำไปขอรับอนุญาตได้ภายใน ๙๐ วันโดยผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ดังนั้น เมื่อคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาในขณะใช้พระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ ดังกล่าว การกระทำของจำเลยก็ยังได้รับการยกเว้นโทษ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานนี้ แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาในประเด็นนี้ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ เพราะเป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย
พิพากษาแก้ เป็นให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับข้อหาฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้โดยไม่ได้รับอนุญาตนั้นเสียด้วย นอกจากที่แก้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์