คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1282/2513

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์อ้างว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินให้โจทก์ในราคาไร่ละ 600 บาท ตามเอกสาร จ. 1 จำเลยต่อสู้ว่าก่อนที่จะทำเอกสาร จ. 1 โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายกันไว้ฉบับหนึ่งมีความว่าจะซื้อขายกันในราคาไร่ละ 600 บาท โดยผู้ซื้อจะต้องออกเงินไถ่จำนองที่ดินรายนี้ด้วย โจทก์เป็นผู้รักษาสัญญาฉบับนั้นไว้และบอกว่าหายไปเสียแล้วเมื่อฟังได้ดังที่จำเลยต่อสู้ และฟังว่าเอกสาร จ. 1 เป็นเพียงใบรับเงินมัดจำแล้ว ข้อนำสืบของจำเลยถึงข้อความในสัญญาเดิมย่อมไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 เพราะใบรับเงินมัดจำมิได้เป็นเอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำหนังสือสัญญาซื้อขายที่นาโฉนดที่ ๑๘ เนื้อที่ ๑๓ ไร่เศษ ในราคาไร่ละ ๖๐๐ บาท ในวันทำสัญญาโจทก์ชำระเงินให้จำเลยที่ ๑ ไป ๕,๒๐๐ บาท เงินที่เหลือโจทก์จะชำระให้เสร็จภายใน พ.ศ. ๒๕๐๐ พร้อมกันนั้นจำเลยที่ ๑ จะไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์ราวเดือนตุลาคม ๒๕๐๐ โจทก์นำเงินที่ค้างงวดสุดท้ายไปชำระให้จำเลยที่ ๑ จำเลยที่ ๑ บอกว่าโฉนดอยู่ที่สหกรณ์ นำมาจดทะเบียนโอนให้โจทก์ไม่ได้ ต่อมาทราบว่าจำเลยที่ ๑เอาโฉนดไปจดทะเบียนยกให้แก่จำเลยที่ ๒ โดยเสน่หาและโดยสมรู้กัน ขอให้เพิกถอนการจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทระหว่างจำเลยทั้งสอง ให้จำเลยที่ ๑ รับเงินที่เหลือ ๒,๙๐๐ บาทจากโจทก์แล้วโอนกรรมสิทธิ์ให้โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่าไม่ได้ทำหนังสือซื้อขายที่นาให้โจทก์ตามสำเนาสัญญาท้ายฟ้อง ความจริงเคยมีหนังสือสัญญารับเงินมัดจำว่าจะขายที่นารายนี้ ๑๙ ไร่เศษ และราคาที่นาก็ตกลงกันว่าโจทก์ต้องซื้อเกินจำนวนเงินจำนองสหกรณ์โคกตูมอีกเป็นเงินไร่ละ ๖๐๐ บาท ข้อตกลงดังกล่าวได้ให้นายผล กำนันเป็นคนเขียนให้ ต่อมาโจทก์เห็นว่าราคานาแพงมาก โจทก์ไม่มีเงินซื้อจึงขอเลิกสัญญามัดจำ และได้ให้นายลอองมารับเงินมัดจำคืนไป และได้ทำใบรับเงินให้จำเลยยึดถือ ๑ ฉบับ เมื่อเลิกสัญญาแล้วจำเลยก็กลับเอานามาทำเอง ๒ ปีมาแล้ว
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนนิติกรรมการจดทะเบียนจยกที่พิพาทให้กันระหว่างจำเลยทั้งสองให้จำเลยที่ ๑ ไปจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่พิพาทให้โจทก์กับให้จำเลยรับเงิน ๒,๙๐๐ บาทจากโจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ขณะที่จำเลยที่ ๑ ทำสัญญาจะขายที่พิพาทให้โจทก์นั้น ที่แปลงนี้ติดจำนองอยู่ ๑๒,๐๐๐ บาท โจทก์อ้างว่า จำเลยที่ ๑ ตกลงขายที่พิพาทให้โจทก์ในราคาไร่ละ ๖๐๐ บาท โดยจำเลยที่ ๑ จะต้องไปไถ่ถอนจำนองมาก่อน ซึ่งหมายความว่าจำเลยที่ ๑ จะได้เงินค่าที่ดินจากโจทก์เพียง ๘,๑๐๐ บาท แต่จำเลยที่ ๑ จะต้องออกเงินค่าไถ่ถอนก่อนมากกว่า ๑๒,๐๐๐ บาท รวมทั้งดอกเบี้ยด้วย จึงไม่น่าเชื่อและไร้เหตุผล
จำเลยที่ ๑ นำสืบว่าการตกลงจะขายที่พิพาทนี้ โจทก์จะต้องเป็นฝ่ายออกเงินไถ่จำนองนาแล้วจึงจะขายให้ในราคาไร่ละ ๖๐๐ บาท ข้อนี้โจทก์อ้างเอกสาร หมาย จ. ๑ มายันว่า จำเลยตกลงจะขายไร่ละ ๖๐๐ บาท เท่านั้น เอกสารมีข้อความดังโจทก์อ้างจริง แต่จำเลยที่ ๑ เถียงว่าก่อนทำเอกสาร จ. ๑ โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาจะซื้อขายกันไว้ฉบับหนึ่ง โดยนายผลกำนันเป็นผู้เขียน นายผลนี้โจทก์จำเลยอ้างเป็นพยานร่วมกัน เบิกความสมคำจำเลยที่ ๑ ว่าสัญญาฉบับแรกนั้นมีข้อความว่าจะซื้อขายกันในราคาไร่ละ ๖๐๐ บาท โดยผู้ซื้อจะต้องเป็นฝ่ายออกเงินไถ่จำนอง สัญญานี้ทำขึ้นฉบับเดียวมอบให้โจทก์ไว้ ต่อมาโจทก์บอกว่าสัญญาหายเสียแล้ว น่าเชื่อคำนายผลว่าเป็นความจริง เมื่อเชื่อคำนายผลแล้ว ก็ต้องฟังว่าสัญญาจะซื้อขายคือฉบับแรกที่นายผลเขียนขึ้น ส่วนเอกสาร จ.๑ เป็นเพียงใบรับเงินมัดจำเท่านั้น เอกสารฉบับนี้โจทก์เป็นผู้เขียนขึ้นโดยมิได้เขียนข้อความให้ครบถ้วนตามสัญญาเดิม จำเลยนำสืบข้อความในสัญญาเดิมได้ ไม่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา ๙๔ เพราะใบรับเงินมัดจำมิได้เป็นเอกสารที่กฎหมายบังคับให้ต้องทำเป็นหนังสือ
จำเลยนำสืบว่าโจทก์กับนายลออง เป็นผู้ซื้อร่วมกัน และในวันชำระเงินมัดจำ ๕,๒๐๐ บาทนั้น นายลออง เป็นผู้ชำระโดยบอกว่าเป็นเงินของนายลออง ครั้นการซื้อขายไม่อาจทำสำเร็จได้เพราะโจทก์ไม่มีเงินไปไถ่จำนอง จึงได้มีการเลิกสัญญากัน และจำเลยที่ ๑ ได้คืนเงินมัดจำให้นายลอองไปตามใบรับหมาย ล.๑ ข้อความนี้น่าเชื่อว่าเป็นความจริงเช่นกัน
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์

Share