แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์ของจำเลยที่ออกทับที่ดินของโจทก์และให้ขับไล่จำเลยอันเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทโจทก์จำเลยจึงมีจุดประสงค์โต้เถียงแย่งสิทธิครอบครองหรือความเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทซึ่งเป็นประเด็นหลักดังนั้นคำขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และขับไล่จำเลย จึงเป็นผลอันเนื่องมาจากว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคแรก จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์เมื่อที่ดินพิพาทราคา 210,000 บาท และตั้งอยู่ท้องที่อำเภอภูเวียงจังหวัดขอนแก่น ย่อมเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจศาลของศาลแขวงขอนแก่นจะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17,25(4) พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงขอนแก่น พ.ศ. 2542 มาตรา 3
ย่อยาว
เดิมคดีเรื่องนี้โจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดขอนแก่น เมื่อจำเลยให้การแล้ว ศาลจังหวัดขอนแก่นเห็นว่า เป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงขอนแก่น จึงให้โอนสำนวนไปยังศาลแขวงขอนแก่นตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 16 วรรคท้าย
โจทก์ฟ้องว่า เดิมนายฮอง ชนะบูรณ์ บิดาโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินตามแบบแจ้งการครอบครองที่ดิน (ส.ค.1) เลขที่ 54 จำนวน 50 ไร่ ต่อมาเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2520 นายฮองถึงแก่ความตายทายาทโดยธรรมทุกคนของนายฮองยินยอมยกที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ โจทก์เข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวโดยสุจริต สงบเปิดเผย และด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ไม่มีผู้ใดโต้แย้ง เมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2543 เจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดที่ดินดังกล่าวเพื่อออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เจ้าพนักงานที่ดินรังวัดได้เนื้อที่ 42 ไร่ 2 งาน 54 ตารางวา แต่จำเลยคัดค้านโดยอ้างว่าโจทก์นำชี้รังวัดรุกเข้ามาในที่ดินของจำเลยตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1928 บางส่วนทางทิศตะวันออกจำนวน 9 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวา แต่ความจริงแล้วจำเลยออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ดังกล่าวบางส่วนทับที่ดินของโจทก์ เมื่อจำเลยคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินจึงไม่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่โจทก์นับแต่วันทำรังวัดจำเลยได้แสดงความเป็นเจ้าของที่ดินในส่วนที่พิพาท ทำให้โจทก์ไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ได้ ซึ่งโจทก์สามารถหาประโยชน์จากที่ดินในส่วนที่พิพาทได้เดือนละ 900 บาท ขอให้พิพากษาว่า ที่ดินในส่วนที่จำเลยคัดค้านการรังวัดโจทก์มีสิทธิครอบครอง ให้เพิกถอนการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1928 ในส่วนที่ออกทับที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง กับขอบังคับให้จำเลยกับบริวารออกไปจากที่ดินในส่วนที่จำเลยคัดค้านการรังวัดและในส่วนที่ออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1928 ทับที่ดินที่โจทก์มีสิทธิครอบครอง และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายให้แก่โจทก์เดือนละ 900 บาท นับแต่วันฟ้อง เป็นต้นไปจนกว่าจำเลยจะส่งมอบที่ดินในส่วนดังกล่าวให้แก่โจทก์
จำเลยให้การว่า โจทก์เคยแจ้งการครอบครองที่ดินเนื้อที่ 3 ไร่ และต่อมาแจ้งการครอบครองที่ดินเนื้อที่ 12 ไร่ 2 งาน ส่วนที่โจทก์แจ้งการครอบครองที่ดินเนื้อที่ 50 ไร่ นั้นไม่อาจกล่าวอ้างได้เพราะไม่ใช่กรณีไม่ได้แจ้งการครอบครองภายใน 180 วัน ตามมาตรา 5 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ซึ่งโจทก์ได้แจ้งการครอบครองที่ดินเนื้อที่ 12 ไร่ 2 งาน ใบแจ้งความประสงค์จะได้สิทธิในที่ดินจำนวน50 ไร่ โจทก์จัดทำขึ้นเองจึงเป็นเอกสารปลอม เดิมที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่าที่จำเลยและบิดามารดาจำเลยครอบครองทำประโยชน์ทิศเหนือติดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 136 และที่ว่าง ทิศใต้ติดห้วยบ้านสร้างทิศตะวันออกติดที่ว่างและห้วยบ้านสร้าง ทิศตะวันตกติดที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 176 ต่อมาจำเลยรับมรดกในที่ดินดังกล่าวแล้วครอบครองต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันเป็นเวลานานเกินกว่าหนึ่งปีย่อมได้สิทธิครอบครอง ฟ้องจึงขาดอายุความ เมื่อปี 2520 จำเลยขอออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่ดินดังกล่าว เจ้าพนักงานที่ดินได้ทำการพิสูจน์ สอบสวนรังวัด และปิดประกาศ แล้วออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์เลขที่ 1928 ให้แก่จำเลยเมื่อเดือนกรกฎาคม 2543 โจทก์นำเจ้าพนักงานที่ดินไปทำการรังวัดโดยชี้แนวรุกล้ำเข้ามาในที่ดินดังกล่าวของจำเลยบางส่วนทางทิศตะวันออกเป็นเนื้อที่ 9 ไร่ 3 งาน 54 ตารางวาจำเลยจึงคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินทำการสอบสวนเปรียบเทียบแล้วมีความเห็นว่าที่ดินพิพาทเป็นของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแขวงขอนแก่นสืบพยานโจทก์จำเลยเสร็จแล้ววินิจฉัยว่า คดีเรื่องนี้ โจทก์ฟ้องเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือเป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์เป็นหลัก ส่วนที่จำเลยให้การกล่าวแก้เป็นเรื่องกรรมสิทธิ์ก็เพื่อประโยชน์ในการคำนวณทุนทรัพย์ในการเสียค่าขึ้นศาลให้ถูกต้อง ตลอดจนใช้ในการพิจารณาว่าจะอุทธรณ์ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงในส่วนคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันคำนวณเป็นราคาเงินได้หรือไม่เท่านั้น คดีเรื่องนี้จึงไม่อยู่ในเขตอำนาจศาลแขวงขอนแก่น พิพากษายกฟ้องแต่ไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องต่อศาลที่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีภายในอายุความ
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลแขวงขอนแก่นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “มีปัญหาข้อกฎหมายต้องวินิจฉัยชั้นนี้ว่า คดีเรื่องนี้อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงขอนแก่นจะพิจารณาพิพากษาหรือไม่ เห็นว่า แม้ตามคำขอท้ายฟ้องของโจทก์จะมีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันไม่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ก็ตาม แต่เมื่อจำเลยให้การต่อสู้ว่าเป็นเจ้าของที่ดินพิพาทที่โจทก์กล่าวอ้างว่าเป็นของโจทก์จึงเห็นได้ว่าทั้งตามคำฟ้องของโจทก์และคำให้การของจำเลยเป็นเรื่องที่โจทก์จำเลยมีจุดประสงค์โต้เถียงแย่งสิทธิครอบครองหรือความเป็นเจ้าของกันในที่ดินพิพาท ซึ่งเป็นประเด็นหลักดังนั้นตามคำฟ้องของโจทก์ที่ขอให้เพิกถอนหนังสือรับรองการทำประโยชน์และขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทนั้น จึงเป็นผลอันเนื่องมาจากว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์หรือไม่ คำขอท้ายฟ้องโจทก์จึงเป็นคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์ที่อาจคำนวณเป็นราคาเงินได้คือตามราคาที่ดินพิพาทตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 150 วรรคแรก นั้นเอง คดีเรื่องนี้จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าที่ดินพิพาทราคา210,000 บาท และตั้งอยู่ท้องที่อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น เช่นนี้ ย่อมเป็นคดีที่อยู่ในเขตอำนาจของศาลแขวงขอนแก่นจะพิจารณาพิพากษาตามพระธรรมนูญศาลยุติธรรม มาตรา 17, 25(4) พระราชกฤษฎีกาเปลี่ยนแปลงเขตอำนาจศาลแขวงขอนแก่น พ.ศ. 2542 มาตรา 3 การที่ศาลแขวงขอนแก่นพิพากษายกฟ้องโดยอ้างเหตุว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลแขวงขอนแก่นจะพิจารณาพิพากษาได้นั้น ไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลแขวงขอนแก่น ให้ศาลแขวงขอนแก่นพิพากษาคดีใหม่ต่อไป