คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 729/2533

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลย 4 เดือน ปรับ 1,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นจำคุก 2 เดือน ไม่รอการลงโทษจำคุก และไม่ปรับ ดังนี้ ถือว่าศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมากและเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย จึงไม่ต้องห้ามจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตาม ป.วิ.อ. มาตรา 219 ซึ่งแก้ไขโดย พ.ร.บ. แก้ไขเพิ่มเติม ป.วิ.อ. (ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่าจำเลยมีกัญชาหนัก 45 กรัมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาตและไม่มีเหตุยกเว้นตามกฎหมาย ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 76, 102
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7, 26, 76, 102 ให้จำคุก 8 เดือน ปรับ2,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพมีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 4 เดือน ปรับ 1,000 บาทโทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56
โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุก
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุก 4 เดือน ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 เดือน ไม่รอการลงโทษจำคุก และไม่ปรับ นอกจากที่แก้ให้คงเป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหามีกัญชาหนัก 45 กรัมไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต ศาลชั้นต้นพิพากษาให้ลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 4 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี โจทก์อุทธรณ์ขอให้ไม่รอการลงโทษจำคุกศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำคุกจำเลยมีกำหนด 2 เดือน ไม่ปรับและไม่รอการลงโทษจำคุก จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุก อันเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงมีปัญหาวินิจฉัยว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ดังกล่าวซึ่งเป็นการแก้ไขมากนั้น เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ซึ่งแก้ไขโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา(ฉบับที่ 17) พ.ศ. 2532 มาตรา 12 อันจะทำให้จำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้หรือไม่ ศาลฎีกาโดย มติที่ประชุมใหญ่ เห็นว่า การที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่รอการลงโทษจำคุกให้จำเลยเป็นไม่รอการลงโทษจำคุกนั้น เป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลยจึงไม่ต้องห้ามจำเลยฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามบทบัญญัติดังกล่าว ส่วนฎีกาของจำเลยนั้นเห็นว่า กัญชาของกลางมีน้ำหนักเพียง 45 กรัม นับว่าไม่มากสำหรับยาเสพติดให้โทษประเภทนี้ และจำเลยก็เป็นหญิงสมควรเปิดโอกาสให้จำเลยได้ประพฤติตนเป็นพลเมืองดีต่อไปสักครั้งคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ในส่วนไม่รอการลงโทษจำคุกไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 76 วรรคแรก ให้จำคุก 8 เดือน ปรับ 2,000บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78กึ่งหนึ่ง คงจำคุกจำเลยมีกำหนด 4 เดือน ปรับ 1,000 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30.

Share