แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยให้การว่า ก่อนระยะเวลาที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าโทรศัพท์นั้นจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ แต่ในช่วงระยะเวลาที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเป็นหนี้ค่าโทรศัพท์แก่โจทก์ จำเลยว่าได้ให้เช่าช่วงไปแล้วโดยไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ คำให้การของจำเลยทั้งหมดไม่ปรากฏว่า จำเลยกล่าวปฏิเสธถึงหนี้และใบทวงหนี้ตามฟ้อง จึงเท่ากับเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์ โจทก์ไม่ต้องนำสืบพยาน และจำเลยก็ไม่มีสิทธิที่จะนำสืบพยานฝ่ายตน.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยติดค้างค่าเช่าเครื่องโทรศัพท์และค่าใช้โทรศัพท์ประจำเดือนสิงหาคม ๒๕๒๕ ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๖ ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน ๕๓,๔๔๔ บาท กับดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีในต้นเงิน ๔๕,๐๐๗ บาท นับแต่วันถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การว่า จำเลยเคยเช่าโทรศัพท์กับโจทก์ แต่ไม่เคยติดค้างค่าเช่าและค่าบริการ เครื่องโทรศัพท์ที่จำเลยเช่าได้ถูกเจ้าหน้าที่ของโจทก์ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. ๒๕๒๓ จำเลยจึงเลิกกิจการและเลิกใช้โทรศัพท์ตั้งแต่นั้น เมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๒๕ จำเลยได้ทำสัญญาให้นายไพโรจน์เป็นผู้เช่าช่วง นับแต่จำเลยทำสัญญาเช่าโทรศัพท์ถึงปี พ.ศ. ๒๕๒๔ จำเลยไม่เคยติดค้างค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ ทั้งไม่เคยได้รับใบทวงหนี้จากโจทก์ หนี้ค่าโทรศัพท์จึงไม่อยู่ในความรับผิดชอบของจำเลย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นเห็นว่า คดีพอวินิจฉัยได้ จึงให้งดชี้สองสถานและนัดฟ้องคำพิพากษา แล้วพิพากษาให้จำเลยใช้เงินจำนวน ๕๓,๔๔๔ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของยอดเงิน ๔๕,๐๐๗ บาทนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คำให้การข้อ ๑ ว่าไม่เคยติดค้างค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์และถูกตัดโทรศัพท์ไปแล้วเมื่อปลายปี ๒๕๒๓แต่ให้การในข้อ ๒ อ้างว่าเมื่อเดือนมิถุนายน ๒๕๒๕ จำเลยได้ให้ผู้อื่นเช่าช่วงโรงภาพยนตร์ไป และในระยะปี ๒๕๒๔ จำเลยไม่เคยใช้โทรศัพท์แต่ประการใดทั้งสิ้น ซึ่งหมายความว่าหลังจากเดือนมิถุนายน๒๕๒๕ จำเลยไม่ต้องรับผิดชอบค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์เนื่องจากให้บุคคลอื่นเช่าช่วงไปแล้ว คำให้การของจำเลยรับฟังได้แต่เพียงว่าก่อนเดือนมิถุนายน ๒๕๒๕ จำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์แต่ภายหลังจากนั้นเมื่อให้เช่าช่วงโรงภาพยนตร์ไปแล้วจำเลยไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ และคำให้การข้อ ๓ ก็ยืนยันถึงเจตนาของจำเลยว่า ตั้งแต่วันที่จำเลยทำสัญญาเช่าโทรศัพท์ถึงปลายปีพ.ศ. ๒๕๒๔ จำเลยไม่เคยติดค้างค่าเช่าและค่าบริการโทรศัพท์ และไม่เคยได้รับใบทวงหนี้ คำให้การของจำเลยทั้งหมดไม่ปรากฏว่าจำเลยได้กล่าวปฏิเสธถึงหนี้และใบทวงหนี้ตามฟ้องโจทก์ในเดือนปีที่โจทก์กล่าวหา (เดือนสิงหาคม ๒๕๒๕ ถึงเดือนพฤศจิกายน ๒๕๒๖ รวม ๑๖ เดือน)อันมีผลเท่ากับจำเลยมิได้ให้การปฏิเสธหรือโต้แย้งข้อเท็จจริงหรือรายละเอียดตามฟ้องโจทก์เป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์โดยโจทก์ไม่ต้องนำสืบพยานและจำเลยไม่มีสิทธิที่จะนำสืบพยานฝ่ายตนด้วย เมื่อคำให้การของจำเลยถือได้ว่าเป็นการยอมรับข้อเท็จจริงตามฟ้องโจทก์จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาข้ออื่นของจำเลยอีกต่อไป
พิพากษายืน.