แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ซึ่งมีข้อกำหนดห้ามผู้มีสิทธิในที่ดินโอนที่ดินไปยังผู้อื่น ภายใน 10 ปี นับแต่วันที่ทางราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เป็นต้นไป นอกจากตกทอดทางมรดกตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 มาตรา 31 การที่จำเลยได้ที่ดินพิพาทมาโดยทางมรดก และทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ในระหว่างระยะเวลาห้ามโอนดังกล่าว โดยได้รับเงินกับมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองแล้ว แม้มีข้อตกลงว่าจำเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินดังกล่าวให้แก่โจทก์ เมื่อจำเลยประกาศรับมรดกเสร็จแล้วก็ตาม ก็ถือได้ว่าเป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทำสัญญาจะขายที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ เลขที่ ๑๐๑ ให้แก่โจทก์ในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท โดยตกลงว่าจำเลยจะจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวจากสามีจำเลยมาเป็นชื่อจำเลยแล้วจดทะเบียนโอนต่อให้โจทก์ โจทก์มอบเงินให้จำเลยครบถ้วนแล้วและเข้าครอบครองทำประโยชน์ในที่ดินดังกล่าวตลอดมา จำเลยจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองในที่ดินดังกล่าวมาเป็นชื่อจำเลยแล้ว แต่ไม่ยอมจดทะเบียนโอนให้โจทก์ ขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนชื่อผู้ถือสิทธิครอบครองที่ดินตามฟ้องเป็นชื่อโจทก์ หากไม่ปฏิบัติตามก็ให้ถือเอาคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การว่าไม่เคยทำสัญญาที่ดินตามฟ้องให้แก่โจทก์ โจทก์ทราบดีว่าจำเลยไม่มีสิทธิขายที่ดินพิพาทเนื่องจากเป็นสามีจำเลยที่ถูกคนร้ายยิงตาย โจทก์จึงขอเช่าจากจำเลยและเข้าครอบครองที่ดินพิพาทในฐานะผู้เช่า ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยทำสัญญาขายที่พิพาทให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.๑ แล้วจำเลยผิดสัญญาไม่จดทะเบียนโอนสิทธิครอบครองที่พิพาทให้แก่โจทก์ คงมีปัญหาตามฎีกาของโจทก์ว่าสัญญาเอกสารหมาย จ.๑ มีผลใช้บังคับได้หรือไม่ โจทก์เบิกความตอบทนายจำเลยถามค้านว่า ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.๓) ซึ่งทางราชการห้ามโอนจำหน่ายแก่กัน ให้ตกทอดกันได้เฉพาะทางมรดกเรียกกันว่าเป็น น.ส.๓ หลังแดง และได้ความจากฎีกาของโจทก์ว่า ข้อกำหนดห้ามโอนดังกล่าวเป็นไปตามประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. ๒๔๙๗ มาตรา ๓๑ เห็นว่า ตามบทบัญญัติของกฎหมายดังกล่าว ห้ามผู้ได้สิทธิในที่ดินโอนที่ดินไปยังผู้อื่นภายใน ๑๐ ปี นับตั้งแต่วันที่ราชการออกหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้เป็นต้นไป นอกจากตกทอดทางมรดก สำหรับที่ดินพิพาทนั้น ปรากฏตามสำเนาหนังสือรับรองการทำประโยชน์เอกสารท้ายฟ้องหมายเลข ๓ ว่า ทางราชการออกให้แก่นายม่วง สีเสียด สามีของจำเลยเมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๑๖ ดังนั้น ผู้ที่มีสิทธิครอบครองในที่ดินพิพาทจะโอนที่ดินพิพาทให้แก่บุคคลอื่นก่อนวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๒๖ ไม่ได้ เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย การที่จำเลยทำสัญญาซื้อขายที่ดินพิพาทซึ่งตกทอดเป็นมรดกก่อนให้โจทก์ในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท ตามสัญญาซื้อขาย เอกสารหมาย จ.๑ เมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๑๙ ซึ่งอยู่ในระหว่างระยะเวลาห้ามโอนดังกล่าว และได้รับเงินกับมอบที่ดินพิพาทให้โจทก์ครอบครองแล้ว แม้จะมีข้อตกลงว่าจำเลยจะจดทะเบียนโอนที่ดินให้แก่โจทก์เมื่อจำเลยรับมรดกเสร็จแล้วก็ตาม ก็ถือได้ว่า เป็นสัญญาที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย ตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๑๓ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องบังคับให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาดังกล่าว ปัญหาเรื่องอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลมีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยเองได้
พิพากษายืน