แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยได้ลงมือกระทำชำเราผู้เสียหายซึ่งเป็นเด็กหญิงอายุเพียง 4 ปีเศษ แต่อวัยวะสืบพันธุ์ของจำเลยเพียงแต่จรดอยู่บริเวณปากช่องคลอดของผู้เสียหาย มิได้ล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอด การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงพยายามข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยบังอาจกระทำอนาจารและข่มขืนกระทำชำเราเด็กหญิงสุพัตรา เปี่ยมแจงอายุ ๔ ปี ๙ เดือน ๒๖ วัน จนสำเร็จความใคร่ ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๗๗,๒๗๙
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗ ให้จำคุกจำเลย ๕ ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๗,๘๐ ให้จำคุกจำเลย ๓ ปี ๔ เดือน
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำของจำเลยเป็นเพียงพยายามข่มขืนกระทำชำเราหรือไม่นั้น ตามคำเด็กหญิงสุพัตราผู้เสียหายที่ได้บอกกับนายสุกรีและนางวิจิตร บิดามารดาว่าจำเลยเอาของลับของจำเลยมาชนของลับของพยาน ของลับของจำเลยเข้าไปในของลับของพยานเล็กน้อย แพทย์ผู้ตรวจของลับของเด็กหญิงสุพัตราเบิกความว่า ผลการตรวจพบว่าบริเวณช่องคลอดมีสีแดงกว่าปกติ รอบๆ ช่องคลอดมีรอยถลอกน้ำในช่องคลอดมีเชื้อน้ำอสุจิของชาย เยื่อพรหมจารีไม่ขาด เหตุที่เชื้ออสุจิเข้าไปในช่องคลอดของเด็กได้โดยแรงฉีดของน้ำอสุจิ แต่ทั้งนี้อวัยวะสืบพันธุ์ของชายจะต้องจรดที่ปากช่องคลอด และยืนยันว่าสำหรับช่องคลอดของเด็กขนาดนี้ถ้าอวัยวะของชายล่วงล้ำเข้าไปก็จะต้องฉีกขาด ชั้นไต่สวนมูลฟ้องนายแพทย์ผู้นี้ก็เบิกความว่า ช่องคลอดของผู้เสียหายไม่มีฉีกขาดแสดงว่าของลับของผู้ชายไม่ได้เข้าไปในช่องคลอดและที่มีรอยช้ำและหนังถลอกรอบๆ ของลับผู้เสียหาย แสดงว่าของลับของชายพยายามเข้าไปในของลับผู้เสียหายแต่เข้าไม่ได้เพราะขนาดแตกต่างกัน เมื่อได้ความจากคำนายแพทย์พยานโจทก์เช่นนี้ ประกอบกับผลการตรวจชันสูตรบาดแผลของแพทย์ท้ายฟ้องระบุว่าบริเวณปากช่องคลอดไม่ฉีกขาดแล้ว
ก็ต้องฟังว่าอวัยวะสืบพันธุ์ของจำเลยมิได้ล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอดของผู้เสียหาย ฟังได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำชำเราผู้เสียหายจริง แต่อวัยวะสืบพันธุ์ของจำเลยเพียงแต่จรดปากช่องคลอดของผู้เสียหายเท่านั้น มิได้ล่วงล้ำเข้าไปในช่องคลอด จำเลยกระทำไปไม่ตลอด การกระทำของจำเลยจึงเป็นเพียงพยายามข่มขืนกระทำชำเราเท่านั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว
จึงพิพากษายืน