แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ความประสงค์ของกฎหมายในเรื่องเช่าอสังหาริมทรัพย์ที่ให้มีหลักฐานเป็นหนังสือ นั้นก็เพียงเพื่อความมั่นคงแน่นอน หาได้บังคับไว้ว่าต้องเขียนหรือทำในรูปหรือแบบอย่างใดไม่หากกรณีมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดปรากฎแจ้งชัดพอรับฟังได้ ศาลย่อมบังคับตามหลักฐานนั้นๆ ได้ ฉะนั้น ที่จำเลยทำหนังสือถึงโจทก์รับว่าค้างค่าเช่า และยังได้ทำคำให้การรับรองต่อมาด้วย จำเลยจึงต้องชำระค่าเช่าที่ดินที่ค้างแก่โจทก์
ข้อเท็จจริงซึ่งศาลล่างทั้งสองฟังต้องกันมาแล้ว จำเลยจะบิดเบือนเป็นอย่างอื่นเพื่อให้เกิดเป็นข้อกฎหมายขึ้นหาได้ไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเช่าที่ดินของโจทก์ปลูกสร้างโรงงานอุตสาหกรรมหมักและตากไส้หมูทำไส้กรอก (กุนเชียง) ไม่มีกำหนดระยะเวลาเช่าเมื่อสิ้นระยะปีการเช่า โจทก์บอกเลิกสัญญา ทั้งเดือนให้จำเลยชำระค่าเช่าที่ค้างด้วย จำเลยไม่ยอมออกจากที่ดินคงอยู่ต่อมาโดยละเมิด
จำเลยให้การต่อสู้เช่าที่ดินโจทก์ปลูกสร้างเป็นเคหะที่อยู่อาศัยได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ และโจทก์ไม่ได้บอกเลิกสัญญาเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาอันเป็นกำหนดชำระค่าเช่า จำเลยไม่ได้ละเมิด ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นฟังว่า จำเลยเช่าที่พิพาทจากโจทก์เพื่อการค้าขายเป็นส่วนใหญ่ ไม่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน และฟังข้อเท็จจริงว่าเมื่อครบกำหนดปีการเช่า โจทก์ได้บอกเลิกการเช่าต่อจำเลยโดยชอบแล้ว จำเลยคงอยู่ต่อมาโดยละเมิด ในเรื่องค่าเช่า โจทก์เรียกร้องไม่ได้ เพราะการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ พิพากษาขับไล่
โจทก์และจำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ให้จำเลยชำระเงินค่าเช่าที่ค้าง ๒,๐๐๐ บาทแก่โจทก์ นอกนั้นคงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น และให้ยกอุทธรณ์จำเลย
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าโจทก์เรียกร้องเงินค่าเช่าที่ค้างมิได้ เพราะการเช่าไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ แต่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าหนังสือจำเลยที่นำส่งเงินค่าเช่านั้นเรียกได้ว่ามีหลักฐานเป็นหนังสือ นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าความประสงค์ของกฎหมายที่ให้มีหลักฐานเป็นหนังสือในกรณีเช่นนี้ ก็เพียงเพื่อความมั่นคงแน่นอน กฎหมายหาได้บังคับไว้ว่าต้องเขียนหรือทำในรูปหรือแบบอย่างใดไม่ ฉะนั้น ถ้าหากกรณีมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดปรากฎแจ้งชัดพอรับฟังได้ในเรื่องเช่นนี้แล้ว ศาลย่อมบังคับตามหลักฐานนั้นๆ ได้ สำหรับคดีนี้จำเลยทำหนังสือถึงโจทก์รับว่าค้างค่าเช่าอยู่ ๒,๐๐๐ บาท ทั้งยังได้ทำคำให้การรับรองข้อความตามหนังสือนั้นต่อมาด้วยดังนี้ ศาลฎีกาจึงเห็นพ้องด้วยตามคำวินิจฉัยศาลอุทธรณ์ที่บังคับให้จำเลยชำระเงินค่าเช่าที่ค้าง ฎีกาจำเลยฟังไม่ขึ้น
ที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยเช่าที่ดินโจทก์เพื่ออยู่อาศัย โจทก์จะบอกเลิกการเช่ามิได้ กับโจทก์ไม่ได้บอกเลิกการเช่าให้จำเลยรู้ล่วงหน้าหนึ่งปี คือ หนึ่งชั่วระยะเวลาแห่งการชำระค่าเช่า คำบอกเลิกการเช่าจึงยังไม่ชอบด้วยกฎหมาย ปัญหาดังกล่าวแม้ศาลชั้นต้นจะได้สั่งรับมา แต่ก็เป็นปัญหาข้อเท็จจริง ซึ่งศาลทั้งสองได้ฟังต้องกันมาแล้วว่า จำเลยเช่าที่ดินโจทก์เพื่อปลูกสร้างโรงงานเกี่ยวกับการค้าขายและโจทก์ได้บอกเลิกการเช่าล่วงหน้าหลายคราวด้วยระยะเวลาที่ถูกต้องชอบแล้วเมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ดังกล่าวมานี้ จำเลยจะบิดเบือนข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นเพื่อให้เกิดเป็นข้อกฎหมายขึ้นหาได้ไม่ ฎีกาจำเลยจึงฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ให้ยกฎีกาจำเลย