แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ความมุ่งหมายของ พ.ร.บ.มาตราการในการปราบปรามผุ้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ ที่ปรากฏตามหมายเหตุท้าย พ.ร.บ. นี้ว่า เพื่อให้การปราบปรามผู้กระทำความผิดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้เจ้าพนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการปราบปรามผู้กระทำความผิดตามกฎหมายดังกล่าวนั้นโดยเฉพาะมาตราส่วนโทษสำหรับผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นการเพิ่มในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลตามมาตรา 10 เป็นมาตรการที่จะกำราบปราบปรามผู้กระทำผิดที่มีหน้าที่ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นในสังคม จากความมุ่งหมายดังกล่าว ดังนั้น แม้จำเลยที่ 2 จะอยู่ในระหว่างพักราชการแต่จำเลยที่ 2 ก็ยังมีฐานะเป็นราชการ จึงยังเป็นบุคคลตามมาตรา 10 ที่ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งหกตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 4, 6, 13 ทวิ, 62, 89, 106, 106 ทวิ, 116 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 7, 10, 30, 31 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 6 ให้การปฏิเสธ ส่วนจำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพว่ามีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 120 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อขาย แต่ระหว่างพิจารณาจำเลยที่ 3 ขอถอนคำให้การเดิมและให้การใหม่เป็นปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งหกมีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 การกระทำของจำเลยทั้งหกเป็นกรรมเดียว ลงโทษฐานร่วมมีวัตถุออกฤทธิ์ในประเภท 2 (เมทแอมเฟตามีน) เกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดไว้ในครอบครองเพื่อขายและขาย จำคุกจำเลยที่ 1 ที่ 3 ถึงที่ 6 คนละ 20 ปี สำหรับจำเลยที่ 2 วางโทษตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 10 ประกอบมาตรา 12 ให้จำคุก 50 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนของกลางให้แก่กระทรวงสาธารณสุข
จำเลยทั้งหกอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 มาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 62 วรรคหนึ่ง, 89, 106 ทวิ ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามมาตรา 13 ทวิ วรรคหนึ่ง, 89 ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 86 ซึ่งเป็นกฎหมายหลายบทที่มีโทษหนักที่สุดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 ให้จำคุก 13 ปี 4 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ถึงที่ 6 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นรับฟังได้ว่า เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม 2538 เจ้าพนักงานตำรวจกองกำกับการ 4 กองบังคับการตำรวจปราบปรามยาเสพติด 2 กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด กรมตำรวจ ภายใต้การนำของพันตำรวจเอกพิภพ เบี้ยวไข่มุก ได้จับกุมจำเลยทั้งหก โดยกล่าวหาว่าจำเลยทั้งหกร่วมกันมีเมทแอมเฟตามีนของกลางจำนวน 40,120 เม็ด ไว้ในครอบครองเกินปริมาณที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดเพื่อขายและร่วมกันขายเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวจำนวน 40,000 เม็ด ประการแรกคดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 โดยจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ยื่นฎีกาฉบับลงวันที่ 21 ตุลาคม 2545 โต้แย้งคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ในข้อ 2.1 ข้อ 2.2 ข้อ 3 และข้อ 4 พอสรุปใจความได้ว่า ตามคำให้การของร้อยตำรวจโทวิโรจน์ จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ไม่มีประวัติการขายยาเสพติดมาก่อน ในการจับกุมจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 มิได้จับกุมพร้อมเมทแอมเฟตามีนของกลาง ในชั้นพิจารณาโจทก์ไม่ได้นำสายลับมาเบิกความ คำให้การของจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ตามเอกสารหมาย จ.18 จ.19 และ จ.20 มีการข่มขู่และจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 รู้เท่าไม่ถึงการณ์ ภาพถ่ายที่โจทก์อ้างเป็นพยานหลักฐานไม่มีส่วนที่แสดงว่าจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ส่งมอบยาเสพติด โจทก์จึงไม่มีประจักษ์พยานที่จะลงโทษจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 แต่ฎีกาของจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ดังกล่าวนี้ ต่อมาจำเลยที่ 6 ยื่นฎีกาฉบับลงวันที่ 22 ตุลาคม 2545 เป็นทำนองยอมรับผิด แต่ขอให้ศาลฎีกาลงโทษสถานเบา ซึ่งศาลชั้นต้นสอบจำเลยที่ 6 แล้ว และมีคำสั่งให้รับฎีกาฉบับลงวันที่ 22 ตุลาคม 2545 เป็นฎีกาของจำเลยที่ 6 ดังนั้น ในส่วนที่เกี่ยวกับความผิดของจำเลยที่ 6 ตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ตามที่ได้โต้แย้งในฎีกาฉบับลงวันที่ 21 ตุลาคม 2545 ถือเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ดังกล่าว คงมีปัญหาต้องวินิจฉัยเฉพาะจำเลยที่ 4 และที่ 5 เท่านั้น ในปัญหานี้โจทก์มีพยานมาเบิกความ 4 ปาก คือพันตำรวจเอกพิภพ เบี้ยวไข่มุก ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ เกษมโกสินทร์ ดาบตำรวจนิพนธ์ วันทากรสกุล และสิบตำรวจตรีองอาจ ชังภัย โดยพันตำรวจเอกพิภพเบิกความว่าพันตำรวจเอกพิภพเป็นผู้ร่วมสืบสวนและจับกุมคดีนี้ พันตำรวจเอกพิภพได้รับแจ้งจากสายลับว่า จำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 มีพฤติการณ์จำหน่ายยาเสพติดโดยทั้งสามคนดังกล่าวรับยาเสพติดมาจากจำเลยที่ 1 พันตำรวจเอกพิภพจึงวางแผนล่อซื้อโดยนัดให้สายลับไปนัดกับจำเลยที่ 6 และให้ร้อยตำรวจโทวิโรจน์กับดาบตำรวจนิพนธ์ปลอมตัวเป็นผู้ซื้อไปกับสายลับ วันนัดคือวันที่ 20 กรกฎาคม 2538 ตอนเช้าพันตำรวจเอกพิภพประชุมเจ้าพนักงานตำรวจเพื่อวางแผน ในการเข้าไปเจรจากับจำเลยที่ 6 ของร้อยตำรวจโทวิโรจน์และนายดาบตำรวจนิพนธ์ที่ปั๊มน้ำมันเอสโซ่ พันตำรวจเอกพิภพกับพวกรอสังเกตการณ์อยู่ใกล้ๆ ปั๊มน้ำมัน เวลา 10 นาฬิกา จำเลยที่ 6 ขับรถจักรยานยนต์มีจำเลยที่ 4 และที่ 5 นั่งซ้อนท้ายทั้งสามคนเข้าไปคุยกับร้อยตำรวจโทวิโรจน์ซึ่งนั่งอยู่ในร้านอาหาร และต่อมาสิบตำรวจตรีองอาจได้เข้าไปร่วมคุยด้วยอีกคนหนึ่ง พันตำรวจเอกพิภพเห็นร้อยตำรวจโทวิโรจน์เดินนำจำเลยที่ 5 และที่ 6 ไปที่รถยนต์กระบะโดยมีสิบตำรวจตรีองอาจเดินตามไปด้วย พันตำรวจเอกพิภพเชื่อว่าร้อยตำรวจโทวิโรจน์พาจำเลยที่ 5 และที่ 6 ไปดูเงิน จากนั้นร้อยตำรวจโทวิโรจน์ จำเลยที่ 5 และที่ 6 เดินกลับมาที่ร้านอาหาร ส่วนสิบตำรวจตรีองอาจไม่ได้ตามมา และจำเลยที่ 5 และที่ 6 ก็ขับและซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ออกไป ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ออกจากร้านอาหารโดยนั่งรถยนต์กระบะซึ่งมีสิบตำรวจตรีองอาจเป็นผู้ขับ ส่วนดาบตำรวจนิพนธ์กับจำเลยที่ 4 พากันไปนั่งรถยนต์เก๋งที่มีดาบตำรวจนิพนธ์เป็นผู้ขับ ระหว่างนั้นพันตำรวจเอกพิภพได้รับแจ้งทางวิทยุจากร้อยตำรวจโทวิโรจน์ว่าได้เปลี่ยนจุดรับยาเสพติดให้โทษเป็นที่ปั๊มน้ำมัน ปตท. ซึ่งเขียนป้ายหน้าปั๊มน้ำมันว่า ใหญ่ที่สุดภาคเหนือ ซึ่งพันตำรวจเอกพิภพรู้จัก ร้อยตำรวจโทวิโรจน์แจ้งอีกว่าจำเลยที่ 5 และที่ 6 ขับรถจักรยานยนต์ออกไปเพื่อไปเอายาเสพติดให้โทษมาส่งที่ปั๊มน้ำมันดังกล่าว พันตำรวจเอกพิภพวิทยุแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจให้ตามไปที่ปั๊มน้ำมันดังกล่าว เมื่อไปถึงปั๊มน้ำมันพันตำรวจเอกพิภพเห็นร้อยตำรวจโทวิโรจน์ ดาบตำรวจนิพนธ์ สายลับ และจำเลยที่ 4 นั่งคุยกันอยู่ในร้านอาหารในปั๊ม ต่อมาดาบตำรวจนิพนธ์ สายลับ และจำเลยที่ 4 นั่งรถยนต์เก๋งออกจากปั๊มน้ำมันมุ่งหน้าไปทางสลกบาตร ส่วนร้อยตำรวจโทวิโรจน์กับสิบตำรวจตรีองอาจนั่งรถยนต์กระบะตามไป ระหว่างนั้นร้อยตำรวจโทวิโรจน์วิทยุแจ้งว่ามีการพูดโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งให้ไปรับของที่ปั๊มน้ำมันตราดาว ซึ่งตั้งอยู่ในตัวอำเภอขาณุวรลักษบุรี เนื่องจากที่เดิมไม่ปลอดภัย พันตำรวจเอกพิภพขับรถไปจอดเลยปั๊มน้ำมันดังกล่าว และเห็นรถยนต์เก๋งคันที่ดาบตำรวจนิพนธ์ขับแล่นเข้าไปในปั๊มน้ำมันแล้วต่อมามีรถยนต์กระบะคันที่ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ขับแล่นตามเข้าไป จนเวลา 12 นาฬิกา พันตำรวจเอกพิภพได้รับแจ้งทางวิทยุจากสิบตำรวจตรีองอาจว่าได้รับของเรียบร้อยแล้ว จึงวิทยุแจ้งเจ้าพนักงานตำรวจผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งสังเกตการณ์อยู่นอกปั๊มน้ำมันเข้าจับกุม เมื่อเข้าไปในสำนักงานของปั๊มน้ำมันร้อยตำรวจโทวิโรจน์ซึ่งเดินไปมาที่หน้าสำนักงานชี้ให้จับจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ในสำนักงาน ส่วนเจ้าพนักงานตำรวจอื่นแยกกันจับจำเลยที่ 2 ที่ 5 และที่ 6 ซึ่งอยู่ที่ม้าหินหน้าสำนักงานและต่อมาจับจำเลยที่ 3 ซึ่งอยู่หน้าสำนักงานได้อีก ส่วนจำเลยที่ 4 ดาบตำรวจนิพนธ์บอกว่าอยู่ที่ตลาด พันตำรวจเอกพิภพจึงให้ไปจับมา สิบตำรวจตรีองอาจบอกพันตำรวจเอกพิภพว่าได้รับยาเสพติด 200 ถุง จากจำเลยที่ 3 ไว้ในรถยนต์กระบะ ได้ค้นสำนักงานของปั๊มน้ำมันพบยาเสพติดให้โทษอีก 120 เม็ด และพบสิ่งของรวมทั้งเงินสดจำนวน 500,000 บาท อยู่ในตู้เซฟและจำนวน 109,400 บาท อยู่ในลิ้นชักโต๊ะทำงานของจำเลยที่ 1 ได้แจ้งข้อหาว่าร่วมกันมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายยาเสพติด จำเลยที่ 1 ที่ 2 และที่ 3 ให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 1 รับว่ายาเสพติดให้โทษจำนวน 120 เม็ด เป็นของตน ซึ่งมีไว้เพื่อขายให้แก่ลูกค้ารายย่อย ส่วนจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ให้การรับสารภาพ ร้อยตำรวจโทวิโรจน์เบิกความว่าเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2538 พันตำรวจเอกพิภพเรียกร้อยตำรวจโทวิโรจน์กับพวกเข้าพบ และแจ้งว่าได้รับแจ้งจากสายลับแจ้งว่าจำเลยทั้งหกค้ายาเสพติดให้โทษและได้วางแผนจับกุมโดยใช้วิธีล่อซื้อ ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ได้รับมอบหมายให้ไปเจรจาโดยไปกับสายลับและดาบตำรวจนิพนธ์ วันนัดคือวันที่ 17 กรกฎาคม 2538 สายลับให้ชายคนหนึ่งไปตามจำเลยที่ 6 มาพบร้อยตำรวจโทวิโรจน์ สายลับและนำร้อยตำรวจโทวิโรจน์ให้รู้จักจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 โดยบอกว่าร้อยตำรวจโทวิโรจน์เป็นบุคคลที่จะมาซื้อยาเสพติดให้โทษ จากการเจรจากันจำเลยที่ 6 บอกว่าของมาแล้ว 200 ถุง ราคาถุงละ 6,500 บาท จำเลยที่ 6 บอกขอดูเงินก่อน ร้อยตำรวจโทวิโรจน์นัดเป็นวันที่ 20 กรกฎาคม 2538 โดยจำเลยที่ 6 กับพวกกำหนดสถานที่เป็นปั๊มน้ำมันเอสโซ่ เวลา 14 นาฬิกา และมีข้อแม้ว่าต้องตรวจเงินก่อน ร้อยตำรวจโทวิโรจน์บอกว่าดูเงินแล้วไม่เห็นของสักที จำเลยที่ 6 บอกว่าไม่ต้องห่วง ของนี้เป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันอยู่ที่อำเภอขาณุวรลักษบุรี และมอบให้จำเลยที่ 6 เป็นผู้จัดการ ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ได้รายงานพันตำรวจเอกพิภพ วันที่ 19 กรกฎาคม 2538 เจ้าพนักงานตำรวจได้พากันเดินทางมาพักที่จังหวัดตากซึ่งใกล้จุดนัด วันที่ 20 กรกฎาคม 2538 ตอนเช้ามีการประชุมวางแผนกันโดยให้ร้อยตำรวจโทวิโรจน์และสิบตำรวจตรีองอาจนำเงินสดจำนวน 1,300,000 บาท ใส่ในรถยนต์กระบะไปจอดรออยู่ในปั๊มน้ำมันเอสโซ่ ดาบตำรวจนิพนธ์กับสายลับขับรถยนต์เก๋งอีกคันหนึ่งมาด้วยไปถึงที่นัดเวลา 9.30 นาฬิกา ร้อยตำรวจโทวิโรจน์กับพวกเข้าไปรออยู่ในร้านอาหารซึ่งอยู่ในปั๊มน้ำมัน ส่วนดาบตำรวจนิพนธ์กับสายลับขับรถแยกไปตามจำเลยที่ 6 กับพวก ต่อมาจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์เข้ามาและมาคุยกับร้อยตำรวจโทวิโรจน์กับพวก จากนั้นดาบตำรวจนิพนธ์กับสายลับเข้ามานั่งที่โต๊ะอาหารด้วย ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ถามจำเลยที่ 6 ว่าพร้อมไหม จำเลยที่ 6 บอกพร้อมแล้ว ร้อยตำรวจโทวิโรจน์กับสิบตำรวจตรีองอาจจึงพาจำเลยที่ 5 และที่ 6 ไปดูเงินที่รถยนต์กระบะ ส่วนจำเลยที่ 4 ดาบตำรวจนิพนธ์และสายลับนั่งรอ ร้อยตำรวจโทวิโรจน์เปิดกระเป๋าให้จำเลยที่ 5 และที่ 6 ตรวจดูเงิน จำเลยที่ 5 และที่ 6 พอใจ เมื่อเดินกลับไปที่โต๊ะอาหาร ร้อยตำรวจโทวิโรจน์จึงบอกให้รีบเอาของมาส่งที่นี่เลยจะรีบกลับ จำเลยที่ 6 บอกว่าต้องไปเอาของที่ปั๊มน้ำมัน ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ขอเปลี่ยนสถานที่เป็นปั๊มน้ำมัน ปตท. ที่ใหญ่ที่สุดในภาคเหนือ จำเลยที่ 6 กับพวกตกลงโดยให้จำเลยที่ 4 ไปกับร้อยตำรวจโทวิโรจน์ ส่วนจำเลยที่ 5 และที่ 6 จะรีบไปนำของมาให้ ร้อยตำรวจโทวิโรจน์มอบหมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ของตนให้แก่จำเลยที่ 5 และที่ 6 ด้วย หลังจากนั้นร้อยตำรวจโทวิโรจน์กับสิบตำรวจตรีองอาจขับรถยนต์กระบะโดยดาบตำรวจนิพนธ์กับสายลับขับรถยนต์เก๋งตามหลัง ขณะเดินทางร้อยตำรวจโทวิโรจน์ได้รายงานพันตำรวจเอกพิภพ เมื่อถึงที่นัดได้พากันนั่งรอจำเลยที่ 5 และที่ 6 ที่ร้านอาหารในปั๊มน้ำมัน ต่อมาจำเลยที่ 6 โทรศัพท์แจ้งขอเปลี่ยนสถานที่เป็นปั๊มน้ำมันตราดาวเนื่องจากที่นัดเดิมไม่ปลอดภัย ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ได้ขอพูดโทรศัพท์กับจำเลยที่ 1 ซึ่งยืนยันว่าที่นัดเดิมไม่ปลอดภัย ร้อยตำรวจโทวิโรจน์บอกไปไม่ถูก จำเลยที่ 1 บอกจะให้จำเลยที่ 6 มารับเพื่อนำทาง ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ตกลง ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ถามจำเลยที่ 4 ว่าพาไปได้ไหม จำเลยที่ 4 บอกพาไปได้ จำเลยที่ 4 และดาบตำรวจนิพนธ์จึงเดินทางโดยรถเก๋งนำหน้า ส่วนร้อยตำรวจโทวิโรจน์กับสิบตำรวจตรีองอาจขับรถยนต์กระบะตามไป ระหว่างทางร้อยตำรวจโทวิโรจน์ได้รายงานพันตำรวจเอกพิภพซึ่งบอกจะขับรถไปดูลาดเลาล่วงหน้าก่อน ก่อนถึงสี่แยกสลกบาตร ได้สวนทางกับจำเลยที่ 6 จำเลยที่ 6 จอดรถจักรยานยนต์และจำเลยที่ 4 ลงจากรถยนต์เก๋งของดาบตำรวจนิพนธ์ไปซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์จำเลยที่ 6 ซึ่งนำหน้ารถยนต์เก๋งของดาบตำรวจนิพนธ์ไป เมื่อลงสะพานข้ามแม่น้ำจำเลยที่ 6 จอดให้จำเลยที่ 4 ลงแล้วขับต่อไป เมื่อถึงปั๊มน้ำมันตราดาว จำเลยที่ 6 ขับรถจักรยานยนต์เข้าไปในปั๊มน้ำมัน ดาบตำรวจนิพนธ์ขับรถยนต์เก๋งเข้าไปในปั๊มน้ำมันและอ้อมด้านหลังซึ่งเป็นทางออก ส่วนร้อยตำรวจโทวิโรจน์จอดรถกระบะตรงบริเวณข้างสำนักงานด้านซ้าย หลังจากนั้นดาบตำรวจนิพนธ์ขับรถยนต์เก๋งมาต่อท้ายรถยนต์กระบะของร้อยตำรวจโทวิโรจน์ ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ลงจากรถ จำเลยที่ 5 และที่ 6 ซึ่งนั่งอยู่บริเวณม้าหินพาร้อยตำรวจโทวิโรจน์เข้าไปในสำนักงานพบจำเลยที่ 1 และที่ 2 จำเลยที่ 2 ถามว่าเงินเตรียมมาพร้อมหรือยัง ร้อยตำรวจโทวิโรจน์บอกพร้อมแล้ว และจำเลยที่ 6 ก็ยืนยัน ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ถามว่าของมีเท่าใด จำเลยที่ 1 บอกว่ามี 200 ถุง เมื่อร้อยตำรวจโทวิโรจน์บอกให้เอาของมา จำเลยที่ 1 บอกขอดูลาดเลาก่อนและเดินออกจากสำนักงานโดยมีจำเลยที่ 2 เดินตาม ร้อยตำรวจโทวิโรจน์และจำเลยที่ 6 ก็เดินตามออกมาด้วย จำเลยที่ 6 เดินทางไปนั่งที่ม้าหินกับจำเลยที่ 5 ส่วนจำเลยที่ 1 ก็เดินไปพูดกับเด็กปั๊มน้ำมัน จำเลยที่ 2 ตรวจดูลาดเลาบริเวณรอบๆ แล้วจำเลยที่ 1 เดินกลับเข้าไปที่สำนักงานโดยจำเลยที่ 2 และร้อยตำรวจโทวิโรจน์เดินตามเข้าไป จำเลยที่ 2 พูดว่าไม่มีอะไรให้ของไปเถอะ จำเลยที่ 1 พูดว่าคุณไม่ต้องยุ่งให้ไปดูลาดเลา เดี๋ยวจะให้อำพิณ (หมายถึงจำเลยที่ 3) จัดการ และพูดว่าขอดูอีกทีก่อน จำเลยที่ 1 เดินออกจากสำนักงานไปที่รถยนต์กระบะที่สิบตำรวจตรีองอาจจอดอยู่ ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ตามไปด้วย จำเลยที่ 1 เดินดูรอบๆ รถและดึงกระบะท้ายรถแต่ไม่ออก สิบตำรวจตรีองอาจขับรถยนต์กระบะไปจอดหลังปั๊มน้ำมัน ระหว่างเดินเข้าสำนักงานจำเลยที่ 2 เดินสวนออกมา ขณะอยู่กับร้อยตำรวจโทวิโรจน์ในสำนักงาน จำเลยที่ 1 เรียกจำเลยที่ 3 ซึ่งอยู่นอกสำนักงานให้ไปนำถุงที่อยู่ท้ายรถยนต์เอ็นวีไปให้คนที่อยู่ในรถยนต์กระบะ จำเลยที่ 3 ออกจากสำนักงานไปหยิบของที่อยู่ท้ายรถยนต์เอ็นวี และนำไปที่รถยนต์กระบะ ต่อมาอีก 5 นาที พันตำรวจเอกพิภพกับพวกก็เข้าจับกุมจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 3 ที่ 5 และที่ 6 ต่อมาดาบตำรวจนิพนธ์ได้จับกุมจำเลยที่ 4 ปรากฏว่าของที่รับจากจำเลยที่ 3 เป็นยาเสพติดให้โทษจำนวน 200 ถุง ตรวจค้นสำนักงานแล้วพบของต่างๆ รวมทั้งยาเสพติดให้โทษอีก 120 เม็ด ส่วนพยานโจทก์อีก 2 ปาก คือ ดาบตำรวจนิพนธ์และสิบตำรวจตรีองอาจเบิกความทำนองเดียวกับร้อยตำรวจโทวิโรจน์ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ทั้งสี่ดังกล่าวเห็นได้ว่า แม้ประวัติการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษของจำเลยที่ 4 และที่ 5 จะไม่ปรากฏ และโจทก์ไม่มีสายลับมาสืบประกอบอีกทั้งตามภาพถ่ายไม่มีภาพถ่ายจำเลยที่ 4 และที่ 5 มอบยาเสพติดให้โทษ แต่ตามคำเบิกความของพยานโจทก์ปากร้อยตำรวจโทวิโรจน์ ดาบตำรวจนิพนธ์และสิบตำรวจตรีองอาจก็ยืนยันได้แน่นอนว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5 เป็นผู้ร่วมกับจำเลยที่ 6 เจรจาซื้อเมทแอมเฟตามีนกับร้อยตำรวจโทวิโรจน์มาแต่ต้น โดยจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 นั่งรถจักรยานยนต์คันเดียวกันซ้อนท้ายกันมา โดยเฉพาะจำเลยที่ 6 เป็นคนขอดูเงินที่จะซื้อและนัดหมายส่งมอบของรวมทั้งแนะนำให้ร้อยตำรวจโทวิโรจน์รู้จักจำเลยที่ 1 พร้อมทั้งยืนยันต่อจำเลยที่ 1 ถึงความพร้อมของเงินที่จะนำมาซื้อยาเสพติดให้โทษ คำเบิกความของพยานโจทก์ดังกล่าวจึงยืนยันได้ว่า จำเลยที่ 4 และที่ 5 กระทำความผิด ส่วนข้ออ้างของจำเลยที่ 4 และที่ 5 ที่อ้างว่าการลงชื่อในคำให้การของจำเลยที่ 4 และที่ 5 มีการข่มขู่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจและจำเลยที่ 4 และที่ 5 รู้เท่าไม่ถึงการณ์นั้น เป็นการกล่าวอ้างลอยๆ พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้อย่างมั่นคงว่าจำเลยที่ 4 และที่ 5 กระทำความผิดดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยมา ฎีกาจำเลยที่ 4 และที่ 5 ฟังไม่ขึ้น
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ต่อไปโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างในฎีกาข้อ 2.1 ข้อ 2.2 และข้อ 3 พอสรุปใจความว่า ตามพยานหลักฐานโจทก์ การกระทำความผิดคดีนี้เป็นการล่อซื้อผ่านจำเลยที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 โดยไม่มีพยานหลักฐานส่วนใดพาดพิงถึงจำเลยที่ 1 และที่ 2 ด้วย ศาลฎีกาเห็นว่า เฉพาะคำเบิกความของพยานโจทก์ปากร้อยตำรวจโทวิโรจน์ ดาบตำรวจนิพนธ์ และสิบตำรวจตรีองอาจก็สามารถยืนยันได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เกี่ยวโยงกับการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษคดีนี้ กล่าวคือ ร้อยตำรวจโทวิโรจน์เบิกความว่า ในการเจรจากับจำเลยที่ 6 เมื่อร้อยตำรวจโทวิโรจน์ขอดูของจำเลยที่ 6 ก็บอกว่าไม่ต้องห่วงของเป็นของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของปั๊มน้ำมันมอบให้จำเลยที่ 6 เป็นผู้จัดการ และเมื่อจำเลยที่ 6 ขอเปลี่ยนสถานที่ส่งมอบและชำระเงิน จำเลยที่ 6 ก็ให้ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ได้พูดกับจำเลยที่ 1 ทางโทรศัพท์โดยอ้างว่าที่เดิมไม่ปลอดภัย เมื่อถึงที่นัดหมายแล้ว จำเลยที่ 6 ก็แนะนำจำเลยที่ 1 แก่ร้อยตำรวจโทวิโรจน์ และจำเลยที่ 1 ถามร้อยตำรวจโทวิโรจน์ว่าเงินพร้อมหรือไม่ ในการเดินดูลาดเลาของจำเลยที่ 1 มีจำเลยที่ 2 เดินตามและช่วยเดินดูลาดเลาบริเวณรอบๆ พร้อมทั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้บอกจำเลยที่ 1 เองว่าไม่มีอะไรให้มอบของไปเถอะ ซึ่งคำเบิกความของร้อยตำรวจโทวิโรจน์ส่วนนี้มีคำเบิกความของดาบตำรวจนิพนธ์ สิบตำรวจตรีองอาจสนับสนุน ข้อเท็จจริงน่ารับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีส่วนกระทำความผิดดังที่ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัย ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ฎีกาจำเลยที่ 1 และที่ 2 อ้างในข้อ 4 ว่า แม้จำเลยที่ 2 จะเป็นเจ้าพนักงานตำรวจ แต่ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 2 ถูกสั่งพักราชการ ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่ 2 เป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดจึงไม่ถูกต้องนั้น เห็นว่า ความมุ่งหมายของพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 ปรากฏตามหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัตินี้ว่า เพื่อให้การปราบปรามผู้กระทำความผิดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นจึงจำเป็นต้องมีการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้พนักงานเจ้าหน้าที่ดำเนินการปราบปรามผู้กระทำความผิดตามกฎหมายดังกล่าวนั้นโดยเฉพาะ มาตราส่วนโทษสำหรับผู้กระทำความผิดซึ่งเป็นการเพิ่มในส่วนที่เกี่ยวกับบุคคลตามมาตรา 10 เห็นได้ว่าเป็นมาตรการที่จะกำราบปราบปรามผู้กระทำผิดที่มีหน้าที่ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างแก่ผู้อื่นในสังคม จากความมุ่งหมายดังกล่าว ในเมื่อคำนึงว่าแม้จำเลยที่ 2 จะอยู่ในระหว่างพักราชการ แต่จำเลยที่ 2 ก็ยังมีฐานะเป็นข้าราชการอยู่มีหน้าที่ต้องประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างแก่ประชาชน จำเลยที่ 2 จึงยังเป็นบุคคลตามมาตรา 10 ที่ต้องระวางโทษเป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น ที่ศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยที่ 2 เป็นสามเท่าของโทษที่กำหนดตามกฎหมาย แต่โทษจำคุกอย่างสูงที่สุดต้องไม่เกินห้าสิบปีชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ในส่วนนี้ฟังไม่ขึ้นอีกเช่นกัน
คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยต่อไปตามฎีกาโจทก์ โดยโจทก์ฎีกาว่า จำเลยที่ 3 เป็นผู้ร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 จึงมีความผิดฐานเป็นตัวการและมิใช่เพียงผู้สนับสนุนดังข้อวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ ในข้อนี้จำเลยที่ 3 ไม่ฎีกาแต่แก้ฎีกาเป็นใจความว่า จำเลยที่ 3 มิได้มีส่วนรู้เห็นในการกระทำความผิด ศาลฎีกาเห็นว่าแม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ฎีกา แต่การกระทำของจำเลยที่ 3 เกี่ยวเนื่องกับการกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ซึ่งฎีกาขึ้นมาประกอบกับโจทก์ฎีกาว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นตัวการ ซึ่งการวินิจฉัยฎีกาโจทก์จะต้องวินิจฉัยในเบื้องต้นก่อนว่า จำเลยที่ 3 มีส่วนรู้เห็นการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 หรือไม่ จึงเป็นข้อที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนที่ศาลฎีกาสามารถวินิจฉัยข้อนี้ได้ แม้จำเลยที่ 3 จะมิได้ฎีกาขึ้นมาในข้อนี้ พยานหลักฐานโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 3 คือจำเลยที่ 3 ซึ่งเป็นลูกจ้างของจำเลยที่ 1 เป็นคนนำยาเสพติดให้โทษซึ่งอยู่ในถุงที่อยู่ท้ายรถยนต์เอ็นวีไปส่งให้แก่เจ้าพนักงานตำรวจตามคำสั่งของจำเลยที่ 1 ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่า จำเลยที่ 3 เป็นเพียงลูกจ้างจำเลยที่ 1 โดยเป็นเสมียนอยู่ภายในปั๊มน้ำมันเกิดเหตุ ไม่น่าที่จำเลยที่ 1 จะวางใจถึงขนาดบอกให้ล่วงรู้ว่า ถุงที่จำเลยที่ 1 สั่งให้ไปมอบแก่เจ้าพนักงานตำรวจที่มาล่อซื้อยาเสพติดให้โทษจะเป็นถุงที่บรรจุยาเสพติด อีกทั้งในชั้นสอบสวนจำเลยที่ 3 ก็ให้การปฏิเสธข้อเท็จจริงจึงยังฟังไม่ได้ว่า จำเลยที่ 3 มีส่วนรู้เห็นกับการกระทำความผิดของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 ฎีกาโจทก์ฟังไม่ขึ้น และที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยที่ 3 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา
อนึ่ง วัตถุออกฤทธิ์ที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 มีไว้ในครอบครองเพื่อขายและขายในคดีนี้คือเมทแอมเฟตามีน ซึ่งภายหลังการกระทำความผิดได้มีประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 (พ.ศ.2539) เรื่อง ระบุชื่อและประเภทยาเสพติดให้โทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 กำหนดในบัญชีท้ายประกาศฉบับดังกล่าวให้เป็นยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ประกาศกระทรวงสาธารณสุข ฉบับที่ 135 มีผลให้การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15, 66 ซึ่งต่อมามีการแก้ไขโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 แต่โทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 เบากว่าโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษทั้ง 2 ฉบับ จึงต้องใช้พระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ซึ่งเป็นกฎหมายที่เป็นคุณ และที่ศาลล่างทั้งสองวางโทษจำเลยที่ 1 ที่ 2 ที่ 4 ที่ 5 และที่ 6 มานั้น ศาลฎีกาเห็นว่าเหมาะสมแล้วจึงไม่มีเหตุจะกำหนดโทษให้เบาลงตามฎีกาของจำเลยที่ 6 ฎีกาของจำเลยที่ 6 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์