แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
สร้อยคอทองคำของเจ้าทรัพย์ขาดหรือหลุดตกลงไปในกะเฌอมะปรางของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เก็บเอา เจ้าทรัพย์ขอคืนก็ไม่ยอมให้ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว จำเลยที่ 1 เดินเอาสร้อยไปส่งให้จำเลยที่ 2 ซึ่ง
อยู่ห่างสัก 4 วา จำเลยที่ 2 พาหนีไป ดังนี้จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานลักทรัพย์ ส่วนจำเลยที่ 2 ผิดฐานรับของโจร
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องหาว่า นางแปลกจำเลยที่ 1 ได้บังอาจลักสร้อยคอทองคำพร้อมด้วยจี้ฝังเพชรของนางสาว บ. ไป และในวันเวลาเดียวกัน นางจวนจำเลยที่ 2 บังอาจรับสร้อยคอนั้นไว้จากนางแปลก โดยรู้ว่าเป็นของร้าย ได้ความว่าวันเกิดเหตุเจ้าทรัพย์ไปตลาดนัดซื้อของ ขณะก้มลงเลือกซื้อมะปรางของนางแปลกจำเลย สร้อยคอทองคำของเจ้าทรัพย์ได้ขาดหรือหลุดตกลงไปในกะเฌอมะปรางของนางแปลก ๆ เก็บเอาไว้เจ้าทรัพย์ขอคืนก็ไม่ยอมคืนให้ กลับเดินเอาไปส่งให้นางจวนจำเลยซึ่งอยู่ห่างราว 4 วา แล้วนางจวนพาหนีไปทางเหนือ เจ้าทรัพย์ไปแจ้งความ รุ่งขึ้นนางแปลกจำเลยเอาจี้มาคืนให้เจ้าทรัพย์อย่างเดียวแต่เพชรที่ฝังหาย สร้อยคอไม่ได้คืน
ศาลชั้นต้นเห็นว่า จำเลยทั้ง 2 เป็นตัวการฐานลักทรัพย์แต่โจทก์ขอให้ลงโทษนางจวนจำเลยฐานรับของโจร ทางพิจารณาจึงต่างกับฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 2 พิพากษาให้จำคุกนางแปลกจำเลย 6 เดือน ตามกฎหมายอาญา มาตรา 288 โดยลด 1 ใน 3 แล้วกับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ส่วนนางจวนจำเลยให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า นางจวนจำเลยผิดฐานรับของโจร พิพากษาแก้ให้จำคุกนางจวนจำเลย 3 เดือน ตามมาตรา 321 และให้ร่วมกับนางแปลกคืนหรือใช้ราคาทรัพย์
นางจวนจำเลยที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาเห็นว่า การที่นางแปลกเก็บเอาจี้ของเจ้าทรัพย์ที่ตกลงในกะเฌอของนางแปลกไว้ต่อหน้าต่อตา และได้มีการพูดขอคืนกับนางแปลกก็ไม่ยอมคืนให้ เป็นความผิดฐานลักทรัพย์สำเร็จแล้ว ต่อจากนั้นไปนางจวนรับเอาทรัพย์นั้นไว้จากนางแปลก หาใช่เป็นผู้ลักทรัพย์ด้วยไม่ เพราะการลักทรัพย์เกิดขึ้นสำเร็จขาดตอนไปแล้ว นางจวนผิดฐานรับของโจร เห็นพ้องตามศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน