คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7282/2553

แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ

ย่อสั้น

คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาซึ่งคดีถึงที่สุดแล้ว และได้ออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษา ต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอ้างว่าจำเลยได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่ง ขอให้ศาลชั้นต้นอย่าเพิ่งออกหมายบังคับคดี ถือได้ว่าเป็นการขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่าจำเลยทั้งสองยังไม่มีสิทธิยื่นคำร้องตาม ป.วิ.พ. มาตรา 293 และตามฎีกาของจำเลยทั้งสองก็อ้างว่าคำร้องของจำเลยดังกล่าวต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามบทบัญญัติดังกล่าวแล้ว แต่ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 293 วรรคสาม บัญญัติว่า คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสองที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบ และศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะต้องพิพากษายกอุทธรณ์เสีย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กลับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการไม่ชอบและจำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมา

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาคดีถึงที่สุดให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนรั้วคอนกรีตที่สร้างรุกล้ำออกไปจากที่ดินของโจทก์ ห้ามมิให้จำเลยทั้งสองและบริวารเกี่ยวข้องกับที่ดินของโจทก์อีกต่อไป โดยได้ออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติแล้วต่อมาจำเลยทั้งสองยื่นคำร้องขอมิให้ศาลชั้นต้นออกหมายบังคับคดีอ้างว่า จำเลยทั้งสองยื่นฟ้องโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งโดยกล่าวอ้างว่า จำเลยทั้งสองก่อสร้างรั้วคอนกรีตในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต มีสิทธิใช้ที่ดินส่วนนี้โดยเสียเงินค่าใช้ที่ดินและจดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ถ้าจำเลยทั้งสองชนะคดีก็ไม่ต้องรื้อรั้วคอนกรีตดังกล่าว
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้อง ค่าคำร้องเป็นพับ
จำเลยทั้งสองอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้เมื่อศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้ว และศาลชั้นต้นได้ออกคำบังคับให้จำเลยทั้งสองปฏิบัติตามคำพิพากษา ต่อมาวันที่ 18 ตุลาคม 2547 จำเลยทั้งสองยื่นคำร้องอ้างว่าจำเลยทั้งสองได้ยื่นฟ้องโจทก์เป็นอีกคดีหนึ่งอ้างว่าจำเลยทั้งสองก่อสร้างรั้วคอนกรีตในที่ดินของโจทก์โดยสุจริต มีสิทธิใช้ที่ดินส่วนนี้โดยเสียเงินค่าใช้ที่ดิน และขอให้จดทะเบียนสิทธิเป็นภาระจำยอม ถ้าจำเลยทั้งสองชนะคดีก็ไม่ต้องรื้อรั้วคอนกรีตดังกล่าว ขอให้ศาลชั้นต้นอย่าเพิ่งออกหมายบังคับคดีโดยจำเลยทั้งสองยินยอมชำระค่าฤชาธรรมเนียมรวมทั้งค่าทนายความแก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ซึ่งถือได้ว่าเป็นการขอให้งดการบังคับคดีไว้ก่อน ศาลอุทธรณ์ภาค 8 วินิจฉัยว่า เป็นการยื่นคำร้องขอให้งดการบังคับคดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 แต่กรณีตามคำร้องของจำเลยทั้งสองนี้จำเลยทั้งสองยังไม่มีสิทธิยื่นคำร้องตามบทกฎหมายดังกล่าว และตามฎีกาของจำเลยก็อ้างว่าคำร้องของจำเลยดังกล่าวต้องด้วยหลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 293 แล้ว แต่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 วรรคสาม บัญญัติว่า คำสั่งของศาลตามมาตรานี้ให้เป็นที่สุด จำเลยทั้งสองย่อมไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งยกคำร้องของจำเลยทั้งสอง ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งรับอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสองจึงไม่ชอบและศาลอุทธรณ์ภาค 8 จะต้องพิพากษายกอุทธรณ์เสีย แต่ศาลอุทธรณ์ภาค 8 กลับวินิจฉัยอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสอง จึงเป็นการไม่ชอบและจำเลยทั้งสองก็ไม่มีสิทธิฎีกาต่อมาอีกด้วย ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัยให้”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 8 และยกฎีกาของจำเลยทั้งสองคืนค่าขึ้นศาลทั้งหมดในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกาแก่จำเลยทั้งสอง ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์และชั้นฎีกานอกจากนี้ให้เป็นพับ

Share