แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในคดีอาญาศาลพิพากษาให้จำคุกจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างจำเลยที่ 2 ที่ 3 ในข้อหาขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส คดีถึงที่สุดคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ 2, ที่ 3 ซึ่งมิได้ถูกฟ้องคดีอาญานั้นด้วย (อ้างฎีกาที่338/2516) จำเลยที่ 2 ที่ 3 ยังอาจยกข้อต่อสู้และนำสืบในคดีแพ่งได้ว่า จำเลยที่ 1 มิได้เป็นฝ่ายทำละเมิดต่อโจทก์หากแต่โจทก์ที่ 2 เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเอง หาได้ถูกกฎหมายปิดปากมิให้นำสืบโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นดังคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 1 ไม่การที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เพราะศาลชั้นต้นมิได้บังคับให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์ แต่จำเลยที่ 2 ที่ 3 ก็ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ที่ 2 เป็นฝ่ายประมาทแต่ฝ่ายเดียว คำแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นการตั้งประเด็นในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ 1 มิใช่เป็นฝ่ายทำละเมิด ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 โดยอาศัยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 425 ในเมื่อคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ 2 ที่ 3 ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติว่าจำเลยที่ 1 เป็นผู้กระทำละเมิดต่อโจทก์หาได้ไม่ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะฟังข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าโจทก์ที่ 2 หรือจำเลยที่ 1 เป็นฝ่ายประมาทขับรถยนต์โดยประมาทเสียก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ ๑ ได้ขับรถยนต์บรรทุกของจำเลยที่ ๒ ซึ่งเป็นนายจ้างตามทางการที่จ้าง โดยประมาทปราศจากความระมัดระวังตัดหน้ารถบรรทุกน้ำมันของโจทก์ที่ ๑ โดยมีโจทก์ที่ ๒ เป็นผู้ขับเป็นเหตุให้รถทั้งสองคันชนกัน รถของโจทก์ที่ ๑ ได้รับความเสียหายและโจทก์ที่ ๒ ได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กายถึงสาหัส ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงินแก่โจทก์ที่ ๑ พร้อมด้วยดอกเบี้ยถึงวันฟ้องเป็นเงิน ๗๖,๘๙๒.๗๕ บาทแก่โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๔,๖๔๐ บาท ฯลฯ
จำเลยทั้งสองให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยที่ ๑ ไม่ได้เป็นลูกจ้างของจำเลยที่ ๒ แต่เป็นลูกจ้างของผู้อื่นขับรถให้จำเลยที่ ๒ เหตุที่รถชนกันเกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ ๒ เองที่ขับรถเข้าชนท้ายรถจำเลยที่ ๑ การที่โจทก์ที่ ๒ ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้รถของจำเลยที่ ๒ ได้รับความเสียหาย ขอให้ยกฟ้องและให้โจทก์ทั้งสองร่วมกันและแทนกันใช้ค่าเสียหายให้จำเลยที่ ๒ เป็นเงิน ๓๔,๐๐๐ บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ย
โจทก์ทั้งสองให้การแก้ฟ้องแย้งว่า การที่รถของจำเลยที่ ๒ ชนกับรถของโจทก์ที่ ๑ เป็นเพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของจำเลยที่ ๑
ชั้นพิจารณา โจทก์ขอให้ศาลหมายเรียกบริษัทประมวลสรรพกิจจำกัดเข้ามาเป็นจำเลยร่วม โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๒ โอนทางทะเบียนให้รถของจำเลยที่ ๒ เป็นชื่อจำเลยร่วมเป็นเจ้าของเพื่อให้ใช้รถเข้าร่วมในกิจการขนส่งของจำเลยร่วมจำเลยที่ ๑ อยู่ในฐานะเป็นลูกจ้างกระทำการตามที่จ้างของจำเลยร่วมด้วย
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เรียกบริษัทประมวลสรรพกิจ จำกัด เข้ามาเป็นจำเลยร่วมได้ และให้เรียกบริษัทจำเลยร่วมเป็นจำเลยที่ ๓ จำเลยที่ ๓ ให้การทำนองเดียวกับจำเลยที่ ๑ ที่ ๒
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายให้บริษัทโจทก์ที่ ๑ เป็นเงิน ๔๘,๑๕๐ บาท และให้โจทก์ที่ ๒ เป็นเงิน ๓,๒๐๐ บาท และให้ยกฟ้องแย้งของจำเลยที่ ๒
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ขอให้ศาลบังคับให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายตามจำนวนศาลชั้นต้นกำหนด
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า เมื่อคดีเป็นยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นแล้วว่าจำเลยที่ ๑ ต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายในผลแห่งละเมิดซึ่งจำเลยที่ ๑ได้กระทำไปในทางการที่จ้างแล้ว จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ซึ่งเป็นนายจ้างก็ต้องรับผิดร่วมด้วย จะแยกความรับผิดต่างกันไม่ได้ ไม่จำต้องวินิจฉัยอุทธรณ์ข้ออื่นของโจทก์ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ร่วมกับจำเลยที่ ๑ ใช้ค่าเสียหายตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นให้โจทก์
จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ฎีกาขอให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลย ที่ ๒ และที่ ๓ ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า เหตุละเมิดคดีนี้ศาลจังหวัดนครราชสีมาได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ ๗๙๖/๒๕๑๒ ให้จำคุกจำเลยที่ ๑ ในข้อหาว่าขับรถยนต์โดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัสมีกำหนด ๖ เดือน คดีถึงที่สุดแล้วศาลฎีกาเห็นว่าคำพิพากษาในคดีอาญาดังกล่าวไม่มีผลผูกพันจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกมิได้ถูกฟ้องคดีอาญานั้นด้วยเทียบตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ ๓๓๘/๒๕๑๖จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ยังอาจยกข้อต่อสู้และนำสืบในคดีนี้ได้ว่าจำเลยที่ ๑ มิได้เป็นฝ่ายทำละเมิดต่อโจทก์ หากแต่โจทก์ที่ ๒ เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทเองซึ่งเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่ศาลจะต้องวินิจฉัยก่อนปัญหาเรื่องความรับผิดในค่าสินไหมทดแทน ศาลชั้นต้นจึงรับฟังข้อเท็จจริงสำหรับคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ได้ว่าจำเลยที่ ๑ และโจทก์ต่างขับรถโดยประมาทด้วยกัน และโจทก์ที่ ๒ เป็นฝ่ายประมาทมากกว่าไม่ถูกกฎหมายปิดปากมิให้นำสืบโต้เถียงข้อเท็จจริงเป็นอย่างอื่นดังคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๑ การที่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ไม่อุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นก็เพราะศาลชั้นต้นมิได้บังคับให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ รับผิดชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้โจทก์แต่จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ก็ได้ยื่นคำแก้อุทธรณ์ว่าโจทก์ที่ ๒ เป็นฝ่ายขับรถโดยประมาทแต่ฝ่ายเดียว คำแก้อุทธรณ์ของจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ จึงเป็นการตั้งประเด็นในชั้นอุทธรณ์ว่าจำเลยที่ ๑ มิใช่เป็นฝ่ายทำละเมิดศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้จำเลยที่ ๒ และที่ ๓ รับผิดร่วมกับจำเลยที่ ๑ โดยอาศัยบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๔๒๕ ในเมื่อคดีเฉพาะตัวจำเลยที่ ๒ และที่ ๓ ข้อเท็จจริงยังไม่ยุติว่าจำเลยที่ ๑ เป็นผู้ทำละเมิดต่อโจทก์หาได้ไม่ ชอบที่ศาลอุทธรณ์จะฟังข้อเท็จจริงในประเด็นที่ว่าโจทก์ที่ ๒ หรือจำเลยที่ ๑ เป็นฝ่ายขับรถยนต์โดยประมาทเสียก่อน
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ตามประเด็นแห่งคดีที่ได้วินิจฉัยข้างต้น