คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2519

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องจำเลยว่าเปรียบเทียบปรับ ร. โดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อช่วย ร. ให้รับโทษน้อยลง คดีแรกโจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยขัดข้องไม่ส่งสำนวนการสอบสวนต่อศาล คดีหลัง โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเปรียบเทียบปรับโดยไม่มีอำนาจ คดีหลังนี้โจทก์ฟ้องระหว่างที่ศาลชั้นต้นพิจารณาคดีแรก ดังนี้ อนุโลมใช้ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 172 ได้ เป็นฟ้องซ้อน ศาลไม่รับฟ้องคดีหลัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเป็นพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอธัญญบุรีเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2516 โจทก์ทั้งสามถูกนายรวม นางกิม และนายไช้หรือเส่งเล้ง กับพวกอีก 2 คน ทำร้ายร่างกายจนโจทก์ทั้งสามได้รับบาดเจ็บเป็นอันตรายแก่กาย โจทก์ทั้งสามได้ไปแจ้งความร้องทุกข์ต่อจำเลยเมื่อวันที่ 20 เดือนเดียวกันจำเลยรับแจ้งความและบันทึกปากคำไว้แล้วต่อจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปจนวันที่ 14 กรกฎาคม 2516 เวลาใดไม่ปรากฏชัด จำเลยได้บังอาจวินิจฉัยบิดเบือนว่าความผิดที่นายรวมกับพวกทำร้ายโจทก์นั้นเป็นความผิดลหุโทษนอกจากนี้จำเลยยังได้บังอาจบันทึกไว้ในสมุดเปรียบเทียบปรับคดีของสถานีตำรวจโดยมิชอบว่าได้ทำการเปรียบเทียบปรับนายรวมคนเดียว 50 บาท เพื่อปิดคดีโดยโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยเป็นการกระทำในตำแหน่งโดยมิชอบเพื่อจะช่วยนายรวมกับพวกมิให้ต้องรับโทษหรือรับโทษน้อยลงขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200

ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วพิพากษายกฟ้อง

โจทก์ทั้งสามอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน

โจทก์ทั้งสามฎีกา

ศาลฎีกาฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์ทั้งสามได้ฟ้องจำเลยเป็นคดีอาญากล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการมาก่อนแล้ว ตามคดีอาญาของศาลจังหวัดธัญญบุรี หมายเลขดำที่ 193/2517 ในคดีนั้นโจทก์บรรยายฟ้องว่า เมื่อระหว่างวันที่ 18 เมษายน 2516 เรื่อยมาจนถึงวันฟ้อง (วันที่ 16 เมษายน 2517) จำเลยผู้เป็นพนักงานสอบสวนได้ละเว้นการสอบสวนดำเนินคดีอาญาที่โจทก์กล่าวหานายรวมกับพวกทำร้ายร่างกายโจทก์ทั้งนี้เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่โจทก์ และเพื่อจะช่วยให้นายรวม นางกิม นายไช้หรือเล้งกับพวกอีก 2 คนมิให้ต้องรับโทษ ต่อมาวันที่ 21 มีนาคม 2517 จำเลยได้ทำหนังสือถึงผู้พิพากษาหัวหน้าศาลจังหวัดธัญญบุรีแจ้งเหตุขัดข้องไม่สามารถส่งสำนวนการสอบสวนคดีเรื่องนี้ได้ เพราะมิได้ทำสำนวนสอบสวนไว้ และได้ทำการเปรียบเทียบปรับไปแล้ว ซึ่งโจทก์เห็นว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย จำเลยไม่มีอำนาจทำได้ เป็นการแจ้งชัดว่าจำเลยทำผิดจริงดังที่โจทก์ฟ้อง ขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157, 200 ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วสั่งประทับฟ้อง ในระหว่างสืบพยานโจทก์ โจทก์ได้ขอเพิ่มเติมฟ้องว่า เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2516 จำเลยได้วินิจฉัยบิดเบือนว่า คดีที่โจทก์กล่าวหานายรวมกับพวกเป็นความผิดลหุโทษ จำเลยยังได้ทำบันทึกว่าได้เปรียบเทียบปรับนายรวม 50 บาท ความจริงไม่มีการเปรียบเทียบปรับ เพราะโจทก์มิได้รู้เห็นยินยอมด้วย ทั้งจำเลยก็ทราบดีว่าตนไม่มีอำนาจเปรียบเทียบปรับได้ ศาลชั้นต้นเห็นว่าคดีได้มีการไต่สวนมูลฟ้องไปแล้ว หากจะอนุญาตให้เพิ่มเติมฟ้อง จะไม่สะดวกแก่การพิจารณา และข้อหาที่โจทก์ขอเพิ่มเติมก็ต่างกรรมต่างวาระกันกับฟ้องเดิม โจทก์ย่อมดำเนินคดีได้ต่างหากอยู่แล้ว ไม่จำต้องขอเพิ่มเติมฟ้อง ให้ยกคำร้อง โจทก์จึงมาฟ้องเป็นคดีนี้

วินิจฉัยว่า แม้สิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ยังมิได้ระงับไปก็ตาม หากโจทก์ได้ใช้สิทธินั้นฟ้องคดีแล้ว โจทก์ย่อมจะฟ้องคดีเรื่องเดียวกันซ้อนเข้ามาอีกหาได้ไม่ เพราะต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 173 วรรคสอง (1) ซึ่งนำมาใช้บังคับในคดีอาญาได้ ตามนัยแห่งคำพิพากษาฎีกาที่ 298 – 299/2510 ระหว่างผู้ว่าคดีศาลแขวงพระนครใต้ และบริษัทอเมริกันไซยันนามิด คัมปะนี โจทก์ ห้างหุ้นส่วนสามัญนิติบุคคลอัญอัญที่ 1 นายไจ้เซ้ง แซ่โล้ว ที่ 2 จำเลย และเห็นว่าข้อหาในคดีก่อนกับคดีนี้ก็คือจำเลยเปรียบเทียบปรับนายรวมโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายเพื่อช่วยเหลือนายรวมให้ได้รับโทษน้อยลง จึงเป็นความผิดเรื่องเดียวกัน โจทก์ฟ้องคดีนี้อีกไม่ได้ และศาลย่อมยกฟ้องไปได้เลยโดยไม่จำต้องวินิจฉัยว่าคดีของโจทก์จะมีมูลหรือไม่

พิพากษายืน

Share