คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 958/2534

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่ามิได้เบียดบังเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ตามใบเสร็จรับเงินรวม 3 กระทงนั้น เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกิน 5 ปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 วรรคแรก หนังสือของอธิบดีกรมการปกครองถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัดมีข้อความระบุว่า ไม่ควรให้พนักงานบัญชีมาทำหน้าที่จัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่เพราะพนักงานบัญชีมีหน้าที่รับเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่เก็บได้ตามคู่ฉบับใบเสร็จรับเงินเพื่อลงบัญชีอยู่แล้วเช่นนี้ มิใช่ระเบียบหรือคำสั่งให้ต้องปฏิบัติตาม เป็นเพียงการซักซ้อมความเข้าใจในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่เท่านั้น ดังนั้น จำเลยจึงไม่อาจอ้างว่าจำเลยเป็นพนักงานบัญชีไม่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ตามหนังสือของอธิบดีกรมการปกครองฉบับนี้ได้ การที่จำเลยมีหน้าที่รับเงินจากลูกจ้างชั่วคราวที่ทำหน้าที่รับเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่หมวดการคลัง เมื่อรับเงินแล้วก็ต้องมีหน้าที่ลงบัญชีด้วย ถือได้ว่าจำเลยมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 แล้ว ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายแต่เพียงว่า จำเลยมีหน้าที่เก็บเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่จากประชาชนเท่านั้น หากแต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่าจำเลยมีหน้าที่ออกใบเสร็จรับเงินแก่ผู้ชำระเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ ลงบัญชีเงินสดและบัญชีแยกประเภท และต้องนำเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ที่จัดเก็บได้ในแต่ละวันไปฝากธนาคารตามระเบียบ สาระสำคัญของคำฟ้องจึงอยู่ที่ว่า จำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 เท่านั้น ดังนั้นแม้ทางพิจารณาโจทก์กลับนำสืบว่าจำเลยไม่มีหน้าที่เก็บเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่จากประชาชน หน้าที่ดังกล่าวเป็นของหัวหน้าหมวดการคลัง ซึ่งในทางปฏิบัติได้จ้างลูกจ้างชั่วคราวมาทำหน้าที่แทนก็หาเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงแตกต่างจากฟ้องไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147,157, 352, 91
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 ให้เรียงกระทงลงโทษตามมาตรา 91 จำคุกกระทงละ 5 ปีรวม 4 กระทง จำคุก 20 ปี จำเลยให้การเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง ลดโทษให้หนึ่งในสี่ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78คงจำคุก 15 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดรวม 3 กระทงให้จำคุกกระทงละ 5 ปี เป็นจำคุก 15 ปี จำเลยเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 ให้หนึ่งในสาม คงจำคุก 10 ปี นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยมิได้เบียดบังเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ตามใบเสร็จรับเงินเอกสารหมาย จ.1 จ.2 และ จ.4รวม 3 กระทงนั้น เห็นว่า เป็นการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและความผิดทั้งสามกระทงดังกล่าว ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุกจำเลยกระทงละไม่เกินห้าปี จึงต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา218 วรรคแรก ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ส่วนที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้เป็นเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 147 นั้น เป็นการฎีกาในปัญหาข้อกฎหมาย ซึ่งการวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมาย เช่นนี้ ศาลฎีกาจำต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยจากพยานหลักฐานในสำนวน จำเลยฎีกาว่า ตามเอกสารหมาย ล.69 ข้อ 4 ระบุว่า ไม่ควรให้พนักงานบัญชีมาทำหน้าที่จัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ เพราะพนักงานบัญชีมีหน้าที่รับเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่เก็บได้ตามคู่ฉบับใบเสร็จรับเงินเพื่อลงบัญชีอยู่แล้ว จำเลยเป็นพนักงานบัญชีจึงไม่มีหน้าที่จัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่ นั้น เห็นว่า เอกสารหมาย ล.69 มิใช่ระเบียบหรือคำสั่งให้ต้องปฏิบัติตาม เป็นเพียงหนังสือของอธิบดีกรมการปกครองถึงผู้ว่าราชการจังหวัดทุกจังหวัด เพื่อซักซ้อมความเข้าใจในทางปฏิบัติเกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีบำรุงท้องที่เท่านั้นทั้งข้อเท็จจริงที่ยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ฟังได้ว่าจำเลยมีหน้าที่รับเงินจากลูกจ้างชั่วคราวที่ทำหน้าที่รับเงินภาษีบำรุงท้องที่ที่หมวดการคลัง สังกัดส่วนอำเภอเขาชัยสนองค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุง เมื่อจำเลยรับเงินแล้วต้องมีหน้าที่ลงบัญชีด้วย ย่อมถือได้ว่าจำเลยมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147 แล้ว ส่วนที่จำเลยฎีกาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีหน้าที่จัดเก็บเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่จากประชาชน แต่ทางพิจารณาโจทก์กลับนำสืบว่าจำเลยไม่มีหน้าที่เก็บเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่จากประชาชน หน้าที่ดังกล่าวเป็นของหัวหน้าหมวดการคลัง ซึ่งในทางปฏิบัติได้จ้างลูกจ้างชั่วคราวมาทำหน้าที่แทน จึงเป็นการนำสืบข้อเท็จจริงแตกต่างกับฟ้องนั้น เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์มิได้บรรยายแต่เพียงว่า จำเลยมีหน้าที่เก็บเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่จากประชาชนเท่านั้น หากแต่โจทก์ได้บรรยายฟ้องด้วยว่า จำเลยมีหน้าที่ออกใบเสร็จรับเงินให้แก่ผู้ชำระเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ ลงบัญชีเงินสดและบัญชีแยกประเภทและต้องนำเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ที่จัดเก็บได้ในแต่ละวันไปฝากธนาคารตามระเบียบขององค์การบริหารส่วนจังหวัดพัทลุงด้วย สาระสำคัญของคำฟ้องจึงอยู่ที่ว่าจำเลยเป็นเจ้าพนักงานมีหน้าที่จัดการหรือรักษาทรัพย์ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 147เท่านั้น ข้อนำสืบของโจทก์จึงหาแตกต่างกับฟ้องไม่ และวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงตามฎีกาของโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยเบียดบังเงินค่าภาษีบำรุงท้องที่ตามใบเสร็จรับเงิน เอกสารหมาย จ.3 รายนางปุ้ย เดชะกับพวกด้วย
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังทรัพย์ตามเอกสารหมาย จ.3 อีกกระทงหนึ่งด้วย จำคุก 5 ปีความผิดกระทงนี้นอกจากจำเลยจะเบิกความเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาแล้ว จำเลยยังได้บรรเทาผลร้ายโดยนำเงินมาชดใช้แก่ทางราชการครบถ้วนแล้ว มีเหตุบรรเทาโทษ สมควรลดโทษให้จำเลยกึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุก 2 ปี 6 เดือน รวมเป็นจำคุกจำเลยมีกำหนด 12 ปี 6 เดือน นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share