แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
พฤติการณ์ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รู้ว่าพวกของตนจะนำเมทแอมเฟตามีนไปส่งให้แก่ผู้ซื้อ โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ขับรถจักรยานยนต์มายังจุดนัดและดักรอผู้ซื้อเพื่อพาไปหาพวกของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ถือเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนสำเร็จ จึงเป็นตัวการมิใช่เพียงผู้สนับสนุน
เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยที่ 3 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด ให้แก่ ผ. จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับ ผ. ร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด ให้แก่สายลับ แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปริมาณสารบริสุทธิ์เท่าใด แต่โจทก์บรรยายฟ้องมาแล้วว่า เมทแอมเฟตามีนของกลาง 615 เม็ด ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มีน้ำหนัก 56.30 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 11.542 กรัม อันเป็นการบรรยายฟ้องขอให้ลงโทษตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 66 วรรคสอง แล้ว และเมทแอมเฟตามีน 600 เม็ด ดังกล่าว เป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 615 เม็ด ซึ่งตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลางพบปริมาณเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 11.542 กรัม ปริมาณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนตามรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวเป็นการนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาตรวจหาสารบริสุทธิ์แล้วจึงนำผลที่ได้มาคำนวณหาปริมาณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนของกลาง 600 เม็ด ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ที่กำหนดปริมาณสารบริสุทธิ์ของยาเสพติดให้โทษโดยการคำนวณ จึงคำนวณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีน 600 เม็ด ดังกล่าวได้เช่นเดียวกันว่ามีปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์ 11.260 กรัม โดยไม่มีข้อสงสัยว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวอาจมีส่วนผสมที่แตกต่างกับเมทแอมเฟตามีนส่วนอื่นที่จะทำให้ปริมาณสารบริสุทธิ์คำนวณได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยกรัม
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 97, 100/1, 102 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ริบกระเป๋าคาดเอวสีน้ำตาลและรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยง นครสวรรค์ 14 และเพิ่มโทษจำเลยที่ 3 กึ่งหนึ่ง
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ แต่จำเลยที่ 3 รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้เพิ่มโทษ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง, 100/1 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง, 100/1 วรรคหนึ่ง เมทแอมเฟตามีนของกลาง ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่ายเป็นจำนวนเดียวกัน จึงเป็นการกระทำอันเป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท เมื่อการพยายามจำหน่ายต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้นเช่นเดียวกับผู้ที่กระทำความผิดสำเร็จตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ดังนี้ แต่ละฐานความผิดจึงมีบทลงโทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาตแต่เพียงบทเดียว ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำเลยที่ 2 อายุกว่าสิบเจ็ดปีแต่ยังไม่เกินยี่สิบปี รู้ผิดชอบดีแล้ว ไม่สมควรลดมาตราส่วนโทษให้ ลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1 และที่ 2 คนละ 14 ปี และปรับคนละ 200,000 บาท ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 14 ปี และปรับ 200,000 บาท จำเลยที่ 3 ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุกสำหรับความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มากระทำความผิดคดีนี้อีกภายในเวลาห้าปีนับแต่วันพ้นโทษ ให้เพิ่มโทษกึ่งหนึ่งตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 97 คงจำคุกจำเลยที่ 3 มีกำหนด 21 ปี และปรับ 300,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้กักขังแทนเกินกว่าหนึ่งปีได้แต่ไม่เกินสองปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ริบกระเป๋าคาดเอวสีน้ำตาล 1 ใบ ของกลาง คำขออื่นให้ยก
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 86 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ละบทมีโทษเท่ากัน ให้ลงโทษฐานเป็นผู้สนับสนุนผู้อื่นพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 จำคุกคนละ 9 ปี 4 เดือน ไม่ปรับจำเลยที่ 1 และที่ 2 ให้ยกฟ้องจำเลยที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์และจำเลยที่ 1 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงในเบื้องต้นรับฟังได้ว่า ตามวันเวลาเกิดเหตุ เจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 1 และที่ 2 ที่สะพานบ้านแม่นารีและจับกุมนายผดุงหรือแบงค์ได้ที่ป่าอ้อยใกล้สะพานดังกล่าวพร้อมยึดเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด ในกระเป๋าคาดเอวของนายผดุง ซึ่งนายผดุงมีเมทแอมเฟตามีนจำนวนดังกล่าวไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่าย ต่อมาเจ้าพนักงานตำรวจจับกุมจำเลยที่ 3 กล่าวหาว่าจำเลยที่ 3 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด ดังกล่าวให้แก่นายผดุง
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการแรกว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 รอรับนายชุมพลตามที่นายผดุงบอกไว้เพื่อพานายชุมพลไปรับเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด จากนายผดุงที่ป่าอ้อยเป็นการแบ่งหน้าที่กันกระทำความผิด อันเป็นตัวการร่วมกันกระทำความผิดกับนายผดุงหรือไม่ เห็นว่า ตามพฤติการณ์แห่งคดีที่ก่อนเกิดเหตุได้ความตามบันทึกคำให้การในชั้นสอบสวนของนายผดุง จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 ว่า ขณะที่นายชุมพลโทรศัพท์ถึงนายผดุงขอซื้อเมทแอมเฟตามีน 600 เม็ด จากนายผดุงนั้น จำเลยที่ 1 และที่ 2 ก็อยู่ด้วยกันกับนายผดุง และนายผดุงได้บอกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า จะไปเอาเมทแอมเฟตามีนจากจำเลยที่ 3 แล้วนายผดุงได้แยกไป หลังจากนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์ไปตามหานายผดุงเมื่อพบนายผดุงแล้วได้ไปด้วยกัน ก่อนถึงจุดนัดส่งมอบเมทแอมเฟตามีนนายผดุงบอกให้จำเลยที่ 1 และที่ 2 ดักรอนายชุมพลอยู่ที่บนสะพานบ้านแม่นารีห่างจากจุดนัดพบประมาณ 10 เมตร โดยบอกจำเลยที่ 1 และที่ 2 ว่า นายชุมพลจะมารับเมทแอมเฟตามีน ให้นำนายชุมพลไปพบนายผดุง ซึ่งได้ขับรถจักรยานยนต์ลงไปรออยู่ที่ป่าอ้อยข้างทาง เห็นว่า จากพฤติการณ์แห่งคดีที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 ทราบว่านายผดุงจะนำเมทแอมเฟตามีนจำหน่ายให้แก่นายชุมพล โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ได้ขับรถจักรยานยนต์ตามหานายผดุงจนพบกันแล้วไปด้วยกันยังบริเวณที่นัดซื้อขายเมทแอมเฟตามีนกันโดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 ดักรอนายชุมพลซึ่งจะมาซื้อเมทแอมเฟตามีนเพื่อพานายชุมพลไปหานายผดุงซึ่งอยู่ในป่าอ้อยใกล้ ๆ นั้น ย่อมเป็นการแบ่งหน้าที่กันทำเพื่อให้การซื้อขายเมทแอมเฟตามีนสำเร็จ เพราะการจะซื้อขายเมทแอมเฟตามีนสำเร็จนั้นจำเลยที่ 1 และที่ 2 จะต้องรอนายชุมพลและพานายชุมพลไปพบกับนายผดุง ตามพฤติการณ์ดังกล่าวแล้วจึงรับฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นตัวการร่วมกับนายผดุงมีเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและพยายามจำหน่าย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 วินิจฉัยว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นเพียงผู้สนับสนุนนั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
ปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ประการต่อไปมีว่า จำเลยที่ 3 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ เห็นว่า เมื่อนำคำรับของจำเลยที่ 3 ในชั้นสอบสวนมาฟังประกอบพยานโจทก์แล้วทำให้พยานโจทก์มีน้ำหนักแน่นแฟ้นรับฟังได้โดยปราศจากข้อสงสัยว่า จำเลยที่ 3 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด จำนวนเดียวกับที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 และพวกร่วมกันพยายามจำหน่ายให้แก่นายผดุงตามฟ้องจริง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 3 นั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้ฟังขึ้น
อนึ่ง จำเลยที่ 3 จำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด ให้แก่นายผดุงหรือแบงค์ จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับนายผดุงร่วมกันจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนจำนวน 600 เม็ด ให้แก่สายลับ แม้โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวมีปริมาณสารบริสุทธิ์เท่าใด แต่โจทก์บรรยายฟ้องมาแล้วว่าเมทแอมเฟตามีนของกลาง 615 เม็ด ที่จำเลยที่ 1 และที่ 2 กับพวกร่วมกันมีไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย มีน้ำหนัก 56.30 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 11.542 กรัม อันเป็นการบรรยายฟ้องขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสอง (เดิม), 66 วรรคสอง (เดิม) แล้ว และเมทแอมเฟตามีน 600 เม็ด ดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของเมทแอมเฟตามีน 615 เม็ด ซึ่งตามรายงานการตรวจพิสูจน์ของกลางพบปริมาณเมทแอมเฟตามีนคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 11.542 กรัม ปริมาณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนตามรายงานการตรวจพิสูจน์ดังกล่าวเห็นได้ว่าเป็นการนำเมทแอมเฟตามีนของกลางมาตรวจหาสารบริสุทธิ์แล้วจึงนำผลที่ได้มาคำนวณหาปริมาณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีนของกลาง 600 เม็ด ซึ่งสอดคล้องกับบทบัญญัติของพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 ที่กำหนดปริมาณสารบริสุทธิ์ของยาเสพติดให้โทษโดยการคำนวณ จึงคำนวณสารบริสุทธิ์ของเมทแอมเฟตามีน 600 เม็ด ดังกล่าวได้เช่นเดียวกันว่ามีปริมาณเป็นสารบริสุทธิ์ 11.260 กรัม โดยไม่มีข้อสงสัยว่าเมทแอมเฟตามีนดังกล่าวอาจมีส่วนผสมที่แตกต่างกับเมทแอมเฟตามีนส่วนอื่นที่จะทำให้ปริมาณสารบริสุทธิ์คำนวณได้ไม่ถึงหนึ่งร้อยกรัม
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง มาตรา 100/1 วรรคหนึ่ง ประกอบประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80, 83 พระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 เป็นกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท แต่ความผิดฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ต้องระวางโทษตามที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น เช่นเดียวกับผู้กระทำความผิดสำเร็จตามพระราชบัญญัติมาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 7 ความผิดแต่ละบทที่จำเลยกระทำจึงมีอัตราโทษเท่ากัน ให้ลงโทษจำเลยที่ 1 และที่ 2 ฐานร่วมกันมียาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายเพียงบทเดียวตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 จำคุกคนละ 14 ปี และปรับคนละ 200,000 บาท จำเลยที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคสอง ฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 โดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 14 ปี และปรับ 200,000 บาท คำให้การของจำเลยทั้งสามในชั้นสอบสวนเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คนละหนึ่งในสามแล้ว คงจำคุกจำเลยทั้งสามคนละ 9 ปี 4 เดือน และปรับจำเลยทั้งสามคนละ 133,333.33 บาท หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 โดยให้กักขังแทนค่าปรับได้ไม่เกิน 2 ปี และให้คืนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กยง นครสวรรค์ 14 แก่เจ้าของ นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6