คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 728/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 ระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลย เมื่อศาลฎีกามีคำสั่งว่าความผิดของจำเลยเป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 39(2) แล้ว ศาลฎีกาจึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยในข้อที่ว่าจำเลยได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 341 หรือไม่
เมื่อหลักเขตที่ดินของทางราชการไม่ใช่หลักเขตปลอม ข้อความที่ปรากฏในหลักเขตเช่นตัวเลข จึงเป็นของแท้ แม้จำเลยจะเอาหลักเขตซึ่งเป็นหลักเขตที่ดินโฉนดที่ 8993 ของจำเลยไปปักลงในที่ดินโฉนดที่ 8996 ของผู้มีชื่อคนหนึ่ง หลักเขตที่มีหมายเลขดังกล่าวก็คงเป็นหลักเขตซึ่งมีตัวเลขที่แท้จริง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอม.

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยร่วมกันปลอมหลักเขตที่ดินหมายเลขที่ ๐๗๖๐๒๗ และ ๑๗๖๐๙๓ อันเป็นเอกสารราชการ หลักเขตโฉนดที่ดินเลขที่ ๘๙๙๓ ซึ่งจำเลยที่ ๑ ถือกรรมสิทธิ์ว่าเป็นหลักเขตที่ดินโฉนดที่ ๘๙๙๖ ซึ่งเป็นของพันเอกสนธิ์ เลื่อนฉวี แล้วจำเลยร่วมกันนำหลักเขตที่ดินดังกล่าวไปปักไว้ในที่ดินโฉนดที่ ๘๙๙๖ ให้นางสาวดุษฎี ตุงคะมณี หลงเชื่อว่าเป็นที่ดินของจำเลยที่ ๑ เป็นการทำให้นางสาวดุษฎี กรมที่ดินและประชาชนเสียหาย แล้วจำเลยได้ร่วมกันหลอกลวงนางสาวดุษฎีด้วยกล่าวเท็จว่าที่ดินในซอยอ่อนนุชเป็นของจำเลยที่ ๑ จะขายฝากนางสาวดุษฎี จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ พานางสาวดุษฎีไปดูที่อีก จำเลยที่ ๑ ได้แสดงแผนที่ซึ่งแสดงหลักเขตที่ดินหลังโฉนดที่ดินของกรมที่ดินหมายเลข ๐๗๖๐๒๗ และ ๐๗๖๐๙๓ นางสาวดุษฎีกับพวกพบหลักเขตหมายเลขทั้งสองปักอยู่ในที่ดิน แต่เป็นความเท็จ ความจริงที่ดินนั้นเป็นของพันเอกสนธิ์ และจำเลยเอาหลักเขตปลอมไปปักไว้ นางสาวดุษฎีเชื่อจึงรับซื้อฝากจากจำเลย ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๕, ๒๖๘, ๓๔๑, ๘๓ กับให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์ ๘๖,๘๐๐ บาท
จำเลยทั้งสามให้การปฏิเสธ
ระหว่างสืบพยานโจทก์ นางสาวดุษฎีร้องต่อศาลขอถอนคำร้องทุกข์เฉพาะจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ ศาลชั้นต้นให้จำหน่ายคดีสำหรับข้อหาฐานฉ้อโกงสำหรับจำเลยที่ ๒ ที่ ๓ แต่ฟังว่าจำเลยร่วมกันลวงเอาที่ดินซึ่งไม่ใช่ของจำเลยที่ ๑ ว่าเป็นของจำเลยที่ ๑ ขายให้แก่ผู้เสียหาย พิพากษาว่าจำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑, ๒๖๘ ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๕ ให้ลงโทษตามมาตรา ๒๖๘ จำคุกจำเลยที่ ๑ มีกำหนด ๒ ปี ๖ เดือน จำเลยที่ ๒ ที่ ๓ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๒๖๘ ประกอบด้วยมาตรา ๒๖๕ ให้จำคุกจำเลยที่ ๒ และ ๓ คนละ ๒ ปี
จำเลยทั้งสามอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์เห็นว่าจำเลยมิได้ปลอมหรือใช้เอกสารปลอม พิพากษาแก้ว่า จำเลยที่ ๑ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ ให้จำคุกไว้มีกำหนด ๑ ปี ๖ เดือน ข้อหาอื่นสำหรับจำเลยทั้งสามให้ยกเสีย
โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยฐานใช้เอกสารปลอม จำเลยที่ ๑ ฎีกาขอให้ยกฟ้อง
ปรากฏว่าขณะคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอถอนคำร้องทุกข์ ไม่ติดใจดำเนินคดีแก่จำเลยที่ ๑ ศาลฎีกามีคำสั่งว่า ความผิดของจำเลยที่ ๑ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๓๔๑ เป็นอันระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา ๓๙(๒) จึงไม่จำต้องวินิจฉัยฎีกาของจำเลยที่ ๑ ในข้อที่ว่าจำเลยที่ ๑ ได้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา ๓๔๑ ประมวลกฎหมายอาญาหรือไม่ ปัญหาต้องวินิจฉัยมีแต่เฉพาะฎีกาโจทก์ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอมหรือไม่
ศาลฎีกาฟังว่า หลักเขตที่ดินที่ปักอยู่ในที่ดินซอยอ่อนนุชในวันผู้เสียหายไปตรวจสอบเป็นหลักเขตที่ดินของทางราชการ ไม่ใช่หลักเขตที่ปลอม ข้อความที่ปรากฏในหลักเขตเช่น ตัวเลข ๐๗๖๐๒๗ และ ๐๗๖๐๙๓ จึงเป็นของแท้ แม้จำเลยจะเอาหลักเขตดังกล่าวซึ่งเป็นหลักเขตที่ดินโฉนดที่ ๘๙๙๓ ของจำเลยที่ ๑ ไปปักในที่ดินโฉนดเลขที่ ๘๙๙๖ ของพันเอกสนธิ์ เลื่อนฉวี หลักเขตหมายเลข ๐๗๖๐๒๗ และ ๐๗๖๐๙๓ ก็คงเป็นหลักเขตซึ่งมีตัวเลขที่แท้จริง การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานปลอมเอกสารและใช้เอกสารปลอม เพราะจำเลยมิได้ปลอมหรือใช้เอกสารปลอมแต่อย่างใด เพียงแต่จำเลยเอาหลักเขตดังกล่าวซึ่งไม่ใช่หลักเขตของที่ดินโฉนดที่ ๘๙๙๖ มาปักลงในที่ดินโฉนดที่ ๘๙๙๖ จะถือว่าหลักเขตนั้นปลอมและการกระทำของจำเลยเป็นความผิดฐานใช้เอกสารปลอมไม่ได้
พิพากษายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ที่ให้ยกฟ้องโจทก์ในข้อหาฐานใช้เอกสารปลอม ให้ยกฎีกาโจทก์.

Share