คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 407/2509

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151 เป็นบทบัญญัติลงโทษเจ้าพนักงานที่ใช้อำนาจในตำแหน่งโดยทุจริตเกี่ยวกับการมีหน้าที่เป็นผู้ซื้อ ทำ จัดการ หรือรักษาทรัพย์ใดๆ โดยเฉพาะการที่แบบพิมพ์ใบสุทธิอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นครูใหญ่ ก็เพียงเพื่อออกเป็นใบสุทธิให้แก่นักเรียนที่ออกไปจากโรงเรียนซึ่งจำเลยมีอำนาจหน้าที่ในการออกใบสุทธินี้ตามระเบียบ ถ้าจำเลยนำไปใช้ในทางที่ไม่ตรงต่อความจริงและผิดระเบียบ ก็เป็นเรื่องผิดหน้าที่ในการใช้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ในการรักษาตามความมุ่งหมายของมาตรานี้
เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานออกใบสุทธิในหน้าที่โดยจดเปลี่ยนแปลงข้อความ ไม่ตรงต่อความจริงและผิดระเบียบเพื่อให้จำเลยที่ 3 นำไปแสดงต่อผู้บังคับบัญชาในการขอบำเหน็จความชอบนั้น ก็ได้ชื่อว่าจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหาย ครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157
แม้จำเลยที่ 3 จะไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ในการนี้ เมื่อได้ร่วมกับเจ้าพนักงานในการกระทำความผิดก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดด้วย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1 เป็นครูใหญ่โรงเรียนวัดนิลาเทเวศน์สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ เป็นเจ้าพนักงานตำแหน่งครูใหญ่มีหน้าที่ออกใบสุทธิให้แก่นักเรียนที่ออกไปจากโรงเรียนตามระเบียบ จำเลยที่ 2 เป็นครูน้อยโรงเรียนดังกล่าว จำเลยที่ 3 เป็นทหารสารวัตรประจำค่ายทหารบกสุรินทร์ จำเลยทั้ง 3 ร่วมกันทำใบสุทธิอันเป็นเอกสารราชการและเป็นเอกสารรับรองเป็นหลักฐาน ซึ่งข้อเท็จจริงอันเอกสารนั้นมุ่งพิสูจน์ความจริงอันเป็นเท็จขึ้น 1 ฉบับ โดยนำเอาข้อความซึ่งรู้อยู่ว่าเป็นเท็จกรอกลงในใบสุทธิอันเป็นทรัพย์ของกระทรวงศึกษาธิการซึ่งอยู่ในความดูแลรักษาของจำเลยที่ 1 ตามหน้าที่โดยจำเลยที่ 3 เป็นผู้นำรูปถ่ายของจำเลยมาเพื่อติดในใบสุทธิและแจ้งให้จำเลยที่ 1 ออกใบสุทธิแสดงว่าจำเลยที่ 3 เรียนจบหลักสูตรชั้นประถมปีที่ 4 จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดกรอกข้อความเท็จลงในแบบพิมพ์ใบสุทธิ ด้วยข้อความแสดงว่าจำเลยที่ 3 เป็นนักเรียนวัดนิลาเทเวศน์ เรียนจบหลักสูตรชั้นประถมปีที่ 4 ออกจากโรงเรียนเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2488 พร้อมกับติดรูปถ่ายที่จำเลยที่ 3 นำมาลงในใบสุทธิดังกล่าวแล้ว จำเลยที่ 1 เป็นผู้ลงชื่อรับรองในช่องครูใหญ่มอบให้จำเลยที่ 3 นำไปแสดงต่อผู้บังคับบัญชา เพื่อเป็นหลักฐานแสดงว่าจำเลยที่ 3 เรียนจบหลักสูตรชั้นประถมปีที่ 4 ซึ่งความจริงจำเลยทุกคนรู้อยู่แล้วว่าจำเลยที่ 3 เรียนไม่จบชั้นประถมปีที่ 4ตามระเบียบจะออกใบสุทธิไม่ได้ จำเลยที่ 1 อาศัยตำแหน่งหน้าที่กระทำโดยมิชอบและทุจริตเพื่อให้ผู้อื่นหลงเชื่อน่าจะเกิดความเสียหายแก่กระทรวงศึกษาธิการ ผู้บังคับบัญชาของจำเลยที่ 3 รวมทั้งสาธารณชนและทางราชการของรัฐ ต่อมาจำเลยที่ 3 ได้บังอาจนำเอาความเท็จและใบสุทธิที่จำเลยร่วมกันกระทำดังกล่าวไปแจ้งและยื่นแสดงต่อจ่าสิบโทแสงจันทร์ทันวัน เจ้าหน้าที่ผู้ทำเรื่องราวเกี่ยวกับบำเหน็จความชอบของทหารสารวัตรเสนอต่อผู้บังคับบัญชาและผู้บังคับการจังหวัดทหารบกสุรินทร์ แสดงว่า จำเลยที่ 3 มีความรู้เรียนจบชั้นประถมปีที่ 4 เพื่อให้ผู้บังคับบัญชาหลงเชื่อและพิจารณาบำเหน็จความชอบให้แก่จำเลยที่ 3

ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 137, 151, 157, 162, 267, 83, 86

จำเลยที่ 1, 2 ให้การปฏิเสธ จำเลยที่ 3 ให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ปฏิเสธ คงดำเนินคดีต่อไปเฉพาะจำเลยที่ 3

ศาลชั้นต้นเห็นว่า การกระทำของจำเลยไม่ผิดตามมาตรา 151,157, 162 แต่เป็นผิดตามมาตรา 137, 267 ให้ลงโทษตามมาตรา 267จำคุกจำเลย 2 ปี ลดกึ่งหนึ่ง เหลือ 1 ปี ให้รอการลงโทษไว้ในกำหนด 2 ปี

โจทก์อุทธรณ์ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 151,157, 162

ศาลอุทธรณ์เห็นว่า การกระทำที่โจทก์บรรยายในฟ้อง ยังไม่เข้าลักษณะที่จะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157แต่ปรับเข้ามาตรา 162 ได้ แม้จำเลยจะมิใช่เจ้าพนักงาน แต่ได้ร่วมมือกับเจ้าพนักงานก็มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนได้ พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้นเป็นว่า ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 162, 86 จำคุก 2 ปี ลดโทษให้ตามมาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี ให้รอการลงโทษภายใน 2 ปี โจทก์ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายเข้าลักษณะเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151, 157 แล้ว

ศาลฎีกาเห็นว่า มาตรา 151 เป็นบทบัญญัติลงโทษเจ้าพนักงานที่ใช้อำนาจในตำแหน่งหน้าที่โดยทุจริตเกี่ยวกับการมีหน้าที่เป็นผู้ซื้อทำ จัดการหรือรักษาทรัพย์ใด ๆ โดยเฉพาะแม้แบบพิมพ์ใบสุทธินี้จะอยู่ในความดูแลรักษาของนายเปล่งจำเลยที่ 1 ก็ตาม ก็เพียงเพื่อออกเป็นใบสุทธิให้แก่นักเรียนที่ออกไปจากโรงเรียนซึ่งนายเปล่งจำเลยที่ 1 มีอำนาจหน้าที่ในการออกใบสุทธินี้ตามระเบียบ ถ้าจำเลยที่ 1 นาไปใช้ในทางที่ไม่ตรงต่อความจริง และผิดระเบียบ ก็เป็นเรื่องผิดหน้าที่ในการใช้ ถือไม่ได้ว่าเป็นการกระทำทุจริตต่อหน้าที่ในการรักษาตามความมุ่งหมายของมาตรานี้

ส่วนมาตรา 157 นั้น เมื่อข้อเท็จจริงที่จำเลยรับฟังได้ว่านายเปล่งจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าพนักงานออกใบสุทธิในหน้าที่โดยจดเปลี่ยนแปลงข้อความ ไม่ตรงต่อความจริงและผิดระเบียบเพื่อให้จำเลยที่ 3 นำไปแสดงต่อผู้บังคับบัญชาในการขอบำเหน็จความชอบนั้นก็ได้ชื่อว่านายเปล่งจำเลยที่ 1 ปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายโดยเฉพาะอย่างยิ่งแก่ราชการทหารอยู่ในตัวครบองค์ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 แม้จำเลยจะไม่ได้เป็นเจ้าพนักงานผู้มีหน้าที่ในการนี้ก็ตาม เมื่อได้ร่วมมือกับเจ้าพนักงานในการกระทำความผิด ก็ย่อมมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนในการกระทำผิดนี้ด้วย

พิพากษาแก้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ด้วย ให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ประกอบด้วยมาตรา 86 อันเป็นบทหนักตามมาตรา 90 นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์

Share