คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7275/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

เดิม น. และจำเลยได้กู้ยืมเงิน ส. น้องโจทก์จำนวน 150,000 บาท ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงกันให้โจทก์นำเงินกู้ยืมตามฟ้องไปชดใช้หนี้แก่ ส. โดยจำเลยยอมกู้ยืมเงินจากโจทก์และจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้จำนวน183,300 บาท แก่โจทก์แม้ในวันที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดิน โจทก์จะไม่ได้ส่งมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลย แต่เมื่อโจทก์ได้ชำระหนี้ที่จำเลยมีต่อ ส. แทนจำเลยไป และจำเลยยอมทำสัญญาจำนองที่ดินแทนถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยแล้ว การกู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินระหว่างโจทก์และจำเลยย่อมบริบูรณ์ใช้บังคับระหว่างกันได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 2543 จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์จำนวน183,380 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีและจำเลยนำที่ดินโฉนดเลขที่ 11505 พร้อมสิ่งปลูกสร้างมาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์เป็นประกันการชำระหนี้ โดยให้ถือสัญญาจำนองเป็นหลักฐานแห่งการกู้ยืมด้วย กำหนดไถ่ถอนคืนภายใน 3 เดือนนับแต่วันทำสัญญา จำเลยได้รับเงินกู้ยืมจากโจทก์ครบถ้วนแล้ว หลังจากนั้นจำเลยไม่ชำระต้นเงินและดอกเบี้ยแก่โจทก์ คิดถึงวันฟ้องจำเลยค้างชำระดอกเบี้ยจำนวน 18,338 บาทโจทก์มีหนังสือทวงถามจำเลยแล้ว แต่จำเลยเพิกเฉย ขอให้บังคับจำเลยชำระเงินจำนวน201,718 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินจำนวน 183,380 บาท นับจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ หากไม่ชำระหรือชำระไม่ครบถ้วน ให้ยึดทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์ หากไม่พอชำระให้ยึดทรัพย์สินอื่นของจำเลยออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้แก่โจทก์จนครบถ้วน

จำเลยให้การว่า จำเลยจดทะเบียนจำนองที่ดินไว้แก่โจทก์จริงแต่ไม่ได้รับเงินกู้ยืมจากโจทก์ในวันจดทะเบียนจำนองที่ดิน เงินกู้ยืมรายนี้มีการกู้ยืมกันตั้งแต่ปี 2542 และชำระคืนไปบ้างแล้ว คงค้างเพียง 20,000 บาท ขอให้ยกฟ้อง

ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง

โจทก์อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษากลับ ให้จำเลยชำระเงิน 150,000 บาท แก่โจทก์พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละเจ็ดครึ่งต่อปีของต้นเงินดังกล่าวนับแต่วันที่ 16 สิงหาคม 2544จนกว่าจะชำระเสร็จ ถ้าจำเลยไม่ชำระให้ยึดทรัพย์จำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 11505 ตำบลหนองหญ้าลาด อำเภอกันทรลักษณ์ จังหวัดศรีสะเกษพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้โจทก์ คำขออื่นนอกจากนี้ให้ยก

จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้โดยคู่ความไม่โต้เถียงกันว่าโจทก์และจำเลยได้ทำสัญญาจำนองที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 ไว้ต่อกัน แต่ในวันทำสัญญาจำนองที่ดินดังกล่าวโจทก์ไม่ได้ส่งมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลย คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามที่จำเลยฎีกาว่า จำเลยจะต้องชำระเงินกู้ยืมให้แก่โจทก์ตามสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 หรือไม่ ข้อนี้คดีได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ว่า เดิมนางนิ๊งหน่องและจำเลยได้กู้ยืมเงินนางสมหมาย จานทอง น้องโจทก์ จำนวน 150,000 บาท ต่อมาโจทก์และจำเลยตกลงกันให้โจทก์นำเงินกู้ยืมตามฟ้องไปชดใช้หนี้แก่นางสมหมายโดยจำเลยยอมกู้ยืมเงินจากโจทก์และจดทะเบียนจำนองที่ดินเป็นประกันการชำระหนี้จำนวน 183,300 บาท ตามสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 แก่โจทก์ ซึ่งตามคำให้การของจำเลยก็ยอมรับว่าได้มีการกู้ยืมเงินจากโจทก์และได้มีการทำสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 กับโจทก์จริง จึงสอดคล้องกับคำเบิกความของโจทก์ดังกล่าวเพราะหากไม่มีข้อตกลงระหว่างโจทก์กับจำเลยข้างต้น และจำเลยยังไม่ได้รับเงินกู้ยืมตามที่อ้าง จำเลยคงไม่ยอมทำสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 ส่วนที่จำเลยอ้างว่าได้ชำระหนี้ให้โจทก์ไปเกือบหมดแล้ว คงค้างอยู่เพียง 20,000 บาท เท่านั้นทางนำสืบของจำเลยไม่ปรากฏหลักฐานการชำระหนี้ดังกล่าวแต่อย่างใด เห็นว่า แม้ในวันที่โจทก์และจำเลยทำสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 โจทก์จะไม่ได้ส่งมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยก็ตาม แต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์ได้ชำระหนี้ที่จำเลยมีต่อนางสมหมายแทนจำเลยไปและจำเลยยอมทำสัญญาจำนองที่ดินเอกสารหมาย จ.1 แทนในลักษณะเช่นนี้ กรณีย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ส่งมอบเงินกู้ยืมให้แก่จำเลยแล้ว การกู้ยืมเงินและสัญญาจำนองที่ดินตามเอกสารหมาย จ.1 ระหว่างโจทก์และจำเลยย่อมบริบูรณ์ใช้บังคับระหว่างกันได้ มิใช่ว่าโจทก์และจำเลยไม่มีนิติสัมพันธ์ต่อกันดังที่จำเลยฎีกาขึ้นมาไม่ ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์จึงเป็นการชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share