คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3717/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 6 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8ผู้มรณะ เป็นเวลาภายหลังจากศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์แล้ว คดีจึงอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาและเป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะสั่งคำร้องของโจทก์ที่ขอให้เรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8 โดยศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่ง คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้น และเนื่องจากคดีได้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว แม้โจทก์จะยื่นคำร้องขอให้เรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7เป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8 แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 แถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้จำเลยที่ 6 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8 และทนายโจทก์ไม่คัดค้าน ศาลฎีกาจึงมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 6 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8
ตามสัญญาประนีประนอมยอมความระบุว่า โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งแปดตกลงยอมรับแนวเขตตามโฉนดที่ดินที่แต่ละฝ่ายออกโฉนดที่ดินแล้วและได้ครอบครองอยู่จริงและตกลงยอมรับแนวเขตที่ดินที่พิพาทตามแผนที่พิพาทหรือรายงานการรังวัดที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่จัดทำขึ้นตามที่คู่ความได้ชี้แนวเขตและนำส่งศาลและให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความ ดังนั้นเมื่อไม่มีแผนที่หรือรายงานการรังวัดที่ดินที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่จัดทำขึ้นตามที่คู่ความได้ชี้แนวเขตดังที่ระบุไว้ซึ่งเป็นสาระสำคัญในอันที่จะระงับข้อพิพาทมาพิจารณาประกอบด้วยแล้ว ทำให้ข้อสัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่อาจระงับข้อพิพาทต่อกันได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงไม่ชอบ
โจทก์ยื่นฟ้องอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ โดยเสียค่าขึ้นศาลไว้ 200 บาท ต่อมาในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า เป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ ให้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดเพื่อหาเนื้อที่ดินพิพาทเพื่อใช้ในการคำนวณค่าขึ้นศาลเพิ่ม ปรากฏว่าก่อนที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่จะทำการรังวัดที่ดินพิพาทดังกล่าว โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งแปดตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอม โดยศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเสียก่อน จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27บัญญัติไว้ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องตามมาตรา 243(1)ประกอบมาตรา 247

ย่อยาว

คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาตามสัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ทั้งสี่กับจำเลยทั้งแปด ฉบับลงวันที่ 31 สิงหาคม 2542 ซึ่งตามสัญญาข้อ 2 มีใจความว่าโจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งแปดตกลงยอมรับแนวเขตตามโฉนดที่ดินที่แต่ละฝ่ายออกโฉนดที่ดินและได้ครอบครองอยู่จริง โจทก์ทั้งสี่คือแนวเขตตามโฉนดที่ดินเลขที่ 6963 จำเลยที่ 1 คือแนวเขตตามโฉนดที่ดินเลขที่ 64089 และจำเลยทั้งแปดคือแนวเขตตามโฉนดที่ดินเลขที่ 6962 และให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความ โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งแปดตกลงยอมรับแนวเขตที่ดินพิพาทในคดีนี้ตามแผนที่พิพาทหรือรายงานการรังวัดที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่จัดทำขึ้นตามที่คู่ความได้ชี้แนวเขตและนำส่งศาลกับภาพถ่ายจำนวน 9 ภาพ และให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความ

ต่อมาโจทก์ทั้งสี่ยื่นคำร้องว่า ไม่สามารถดำเนินการรังวัดออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งสี่เนื่องจากจำเลยทั้งแปดขัดขวางออกโฉนดที่ดินส่วนของโจทก์ทั้งสี่เนื่องจากจำเลยทั้งแปดขัดขวาง ศาลชั้นต้นมีคำสั่งนัดสอบถามจำเลยทั้งแปด ในวันนัดโจทก์ทั้งสี่ยืนยันแนวเขตที่ดินตามรูปแผนที่วิวาทที่เจ้าพนักงานที่ดินส่งต่อศาลชั้นต้นภายหลังจากศาลพิพากษาตามยอมแล้ว ส่วนจำเลยทั้งแปดยืนยันแนวเขตที่ดินตามหลักหมุดที่ปักอยู่ในปัจจุบันและตามภาพถ่ายแนบท้ายสัญญาประนีประนอมยอมความ

ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ทั้งสี่มีสิทธิขอออกโฉนดได้เพียงที่ตกลงกันตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ที่ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม

โจทก์ทั้งสี่อุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 5 พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นอุทธรณ์ให้เป็นพับ

โจทก์ทั้งสี่ฎีกา

ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 8 ถึงแก่กรรม ศาลชั้นต้นอนุญาตให้จำเลยที่ 6 เข้าเป็นคู่ความแทนที่

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ปรากฏว่าขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 6เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8 ผู้มรณะนั้นเป็นเวลาภายหลังจากศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของโจทก์ทั้งสี่แล้ว คดีจึงอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาและเป็นอำนาจของศาลฎีกาที่จะสั่งคำร้องของโจทก์ทั้งสี่ที่ขอให้เรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8 ผู้มรณะ โดยศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 6เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8 ผู้มรณะได้ คำสั่งของศาลชั้นต้นดังกล่าวจึงไม่ชอบให้ยกคำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้จำเลยที่ 6 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8ผู้มรณะนั้นเสีย และเนื่องจากคดีนี้ได้ขึ้นสู่การพิจารณาของศาลฎีกาแล้ว ซึ่งศาลฎีกาเห็นว่าแม้โจทก์ทั้งสี่จะยื่นคำร้องขอให้เรียกจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 เป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8ผู้มรณะแต่เมื่อจำเลยที่ 1 ถึงที่ 7 แถลงต่อศาลชั้นต้นขอให้จำเลยที่ 6 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8 ผู้มรณะและทนายโจทก์ทั้งสี่ไม่คัดค้านตามรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 18 กรกฎาคม 2545 ของศาลชั้นต้น จำเลยที่ 6 เป็นบุตรของจำเลยที่ 8 จึงเป็นทายาทของจำเลยที่ 8 ย่อมเข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8 ผู้มรณะได้ จึงมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยที่ 6 เข้าเป็นคู่ความแทนที่จำเลยที่ 8 ผู้มรณะ

คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่ต่อไปว่า จำเลยทั้งแปดกระทำการขัดขวางการบังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นหรือไม่ ซึ่งต้องวินิจฉัยก่อนว่าคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ระบุว่า “โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งแปดตกลงยอมรับแนวเขตตามโฉนดที่ดินที่แต่ละฝ่ายออกโฉนดที่ดินแล้วและได้ครอบครองอยู่จริง โจทก์ทั้งสี่คือแนวเขตตามโฉนดที่ดินเลขที่ 6963 ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่จังหวัดเชียงใหม่ จำเลยที่ 1 คือแนวเขตตามโฉนดที่ดินเลขที่ 64089 ตำบลหนองหอยอำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และจำเลยทั้งแปดคือแนวเขตตามโฉนดที่ดินเลขที่ 6962 ตำบลหนองหอย อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ และให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้ โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งแปดตกลงยอมรับแนวเขตที่ดินที่พิพาทในคดีนี้ตามแผนที่พิพาทหรือรายงานการรังวัดที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่จัดทำขึ้นตามที่คู่ความได้ชี้แนวเขตและนำส่งศาลในคดีนี้และภาพถ่ายจำนวน 9 ภาพ และให้ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับนี้” แต่ข้อเท็จจริงได้ความว่า ขณะที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมคู่ความยังมิได้ส่งแผนที่พิพาทหรือรายงานการรังวัดที่ดินที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่จัดทำขึ้นตามที่คู่ความได้ชี้แนวเขตตามที่ระบุไว้ในสัญญาประนีประนอมยอมความ ข้อ 2 ดังกล่าวต่อศาลชั้นต้นแต่อย่างใด แม้ศาลชั้นต้นจะบันทึกไว้ในรายงานกระบวนพิจารณาในวันที่มีคำพิพากษาตามยอมว่า ให้คู่ความติดตามนำแผนที่หรือรายงานการรังวัดของเจ้าพนักงานที่ดินมาส่งต่อศาลมิฉะนั้นให้ถือตามแนวเขตตามภาพถ่ายที่แนบสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 ดังกล่าว ก็หาเป็นผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความตลอดจนคำพิพากษาตามยอมเปลี่ยนแปลงไป ศาลฎีกาพิเคราะห์สัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวกับภาพถ่ายที่แนบแล้ว เห็นว่า ตามสัญญาประนีประนอมยอมความข้อ 2 เมื่อไม่มีแผนที่หรือรายงานการรังวัดที่ดินที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่จัดทำขึ้นตามที่คู่ความได้ชี้แนวเขตดังที่ระบุไว้ซึ่งเป็นสาระสำคัญในอันที่จะระงับข้อพิพาทมาพิจารณาประกอบด้วยแล้ว ทำให้ข้อสัญญาตามสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวไม่อาจระงับข้อพิพาทต่อกันได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตามยอมดังกล่าวจึงไม่ชอบ และคดีไม่จำต้องวินิจฉัยปัญหาตามฎีกาของโจทก์ทั้งสี่อีกต่อไป ทั้งคดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องอย่างคดีไม่มีทุนทรัพย์ โดยเสียค่าขึ้นศาลไว้ 200 บาท ต่อมาในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นจดรายงานกระบวนพิจารณาลงวันที่ 21 มิถุนายน 2542 กำหนดประเด็นข้อพิพาทและหน้าที่นำสืบพร้อมกับระบุว่า”อนึ่ง ปรากฏว่าต่างฝ่ายต่างอ้างว่าที่ดินที่ปลูกสร้างรั้วและสิ่งปลูกสร้างพิพาทเป็นของตน ซึ่งศาลต้องมีคำวินิจฉัยก่อนว่าที่ดินส่วนดังกล่าวเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์หรือจำเลยเป็นคดีขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้ จึงเป็นคดีมีทุนทรัพย์ ให้มีหนังสือถึงเจ้าพนักงานที่ดินทำการรังวัดเพื่อหาเนื้อที่ดินพิพาทเพื่อใช้ในการคำนวณค่าขึ้นศาลเพิ่ม โดยให้คู่ความไปนำชี้ ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ให้โจทก์ออกไปก่อน โดยถือว่าเป็นค่าฤชาธรรมเนียมที่ฝ่ายแพ้คดีจะต้องชำระกับโจทก์คัดหลักฐานแสดงราคาที่ดินที่พิพาทมายื่นต่อศาลก่อนหรือในวันนัดหน้าเพื่อสั่งในเรื่องค่าขึ้นศาลที่เพิ่ม…” ปรากฏว่าก่อนที่เจ้าพนักงานที่ดินจังหวัดเชียงใหม่จะทำการรังวัดที่ดินพิพาทดังกล่าวเพื่อใช้ในการคำนวณทุนทรัพย์คดีนี้ โจทก์ทั้งสี่และจำเลยทั้งแปดตกลงทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันและศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาตามยอม โดยศาลชั้นต้นยังไม่ได้มีคำสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลเพิ่มเสียก่อน จึงเป็นกรณีที่มิได้ปฏิบัติตามบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งในข้อที่มุ่งหมายจะยังให้การเป็นไปด้วยความยุติธรรมตามที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 27 บัญญัติไว้ ศาลฎีกาเห็นสมควรให้ศาลชั้นต้นดำเนินการให้ถูกต้องเสียด้วยทั้งนี้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) ประกอบด้วยมาตรา 247 ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 5พิพากษามานั้นศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย”

พิพากษากลับว่า ให้ยกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 5 และคำสั่งของศาลชั้นต้นตลอดจนคำพิพากษาตามยอมของศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่ให้ถูกต้องตามนัยที่กล่าวข้างต้น แล้วมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่ไปตามรูปคดีค่าฤชาธรรมเนียมทั้งสามศาลให้ศาลชั้นต้นรวมสั่งเมื่อมีคำพิพากษาหรือคำสั่งใหม่

Share