คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2340/2518

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์เป็นลูกจ้างของบริษัทจำกัดซึ่งจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการ จำเลยมีหนังสือไล่โจทก์ออกจาการเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ มีข้อความว่า “ข้าพเจ้าเสียใจว่าการที่ท่านปฏิเสธเช่นนั้น ทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากไล่ท่านออกจากการเป็นลูกจ้างของบริษัทฯ โดยให้มีผลทันที………………เราแน่ใจว่าท่านคงเข้าในว่าเพราะธุรกิจของเรามีการแข่งขันกันอยู่มาก จึงเป็นการดีมากที่ท่านจะออกไปจากที่ทำการของบริษัทฯในวันนี้ ขอให้ท่านทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทไว้รวมทั้งกุญแจสำหรับไขโต๊ะ ประตู หรือยานพาหนะใด ๆ ที่ท่านมีอยู่ในความครอบครอง และกระดาษและเอกสารทั้งหลายเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของบริษัทฯ เราขอเตือนท่านว่า ข่าวสารใดที่เป็นหนังสือหรือสิ่งอื่นใดที่ท่านได้มาในขณะที่ท่านเป็นลูกจ้างของบริษัทฯอันเกี่ยวเนื่องกับกิจการและนโยบายของบริษัทฯ ความสัมพันธ์กับลูกค้า และกิจการงานของลูกค้าของบริษัทฯนั้น ย่อมเป็นความลับ”
หนังสือดังกล่าวเป็นการแสดงความจำนงของจำเลยซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัทให้โจทก์ออกจากงานของบริษัทฯ ถึงแม้จะมีข้อความที่มิได้แสดงไมตรีต่อโจทก์ แต่ก็มิได้มีตอนใดแสดงว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ โจทก์เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจในวงสังคม เปิดเผยความลับของบริษัทและลูกค้า ข้อความในหนังสือดังกล่าวจึงหาใช่เป็นการใส่ความ โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังไม่

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยหมิ่นประมาทโจทก์ โดยจำเลยมีหนังสือไล่โจทก์ออกจากบริษัทฯ ซึ่งจำเลยเป็นกรรมการผู้จัดการโดยระบุว่า “ข้าพเจ้าเสียใจว่าการที่ท่านปฏิเสธเช่นนั้น ทำให้เราไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากไล่ท่านออกจากการเป็นลูกจ้างของบริษัทเอเซี่ยม (ประเทศไทย)ฯ โดยให้มีผลทันที………………เราแน่ใจว่าท่านคงเข้าใจในว่าเพราะธุรกิจของเรา มีการแข่งขันกันอยู่มาก จึงเป็นการดีมากที่ท่านจะออกไปจากที่ทำการของบริษัทฯในวันนี้ ขอให้ท่านทิ้งทรัพย์สินทั้งหมดของบริษัทไว้รวมทั้งกุญแจสำหรับไขโต๊ะ ประตู หรือยานพาหนะใด ๆ ที่ท่านมีอยู่ในความครอบครอง และกระดาษและเอกสารทั้งหลายเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจของเอเซี่ยมฯ เราขอเตือนท่านว่า ข่าวสารใดที่เป็นหนังสือหรือสิ่งอื่นใดที่ท่านได้มาในขณะที่ท่านเป็นลูกจ้างของบริษัทฯอันเกี่ยวเนื่องกับกิจการและนโยบายของบริษัทฯ ความสัมพันธ์กับลูกค้า และกิจการงานของลูกค้าของบริษัทฯนั้น ย่อมเป็นความลับ” ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๒๖,๓๒๘ และให้จำเลยโฆษณาคำขออภัยในหนังสือพิมพ์ ๗ วัน
ศาลชั้นต้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า ไม่เป็นการใส่ความโจทก์และไม่ได้กระทำโดยการโฆษณาหรือป่าวประกาศ ไม่มีมูลความผิด พิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์ข้อความในหนังสือตามที่โจทก์กล่าวในฟ้องประกอบข้อนำสืบชั้นไต่สวนมูลฟ้องแล้วเห็นว่า หนังสือดังกล่าวเป็นการแสดงความจำนงของจำเลยซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ให้โจทก์ออกจากงานของบริษัทฯ ถึงแม้จะมีข้อความที่มิได้แสดงไมตรีต่อโจทก์ แต่ก็มิได้มีตอนใดแสดงว่าโจทก์ทุจริตต่อหน้าที่ โจทก์เป็นบุคคลที่น่ารังเกียจในวงสังคม เปิดเผยความลับของบริษัทและลูกค้า ดังที่โจทก์กล่าวในฟ้องและนำสืบ ซึ่งโจทก์เองก็ได้เบิกความไว้ในชั้นไต่สวนมูลฟ้องว่า “ในหนังสือนั้นไม่ได้ระบุไว้ว่า ข้าพเจ้าเป็นคนน่ารังเกียจ หรือทุจริตอย่างร้ายแรง แต่ข้าพเจ้าตีความเอาเองถ้าคนอื่นอ่าน เขาจะเข้าใจอย่างที่ข้าพเจ้าเข้าใจ ข้าพเจ้าคิดว่าจะเป็นอย่างนั้น” ดังนี้ข้อความในหนังสือดังกล่าวจึงหาใช่เป็นการใส่ความ โดยประการที่น่าจะทำให้โจทก์เสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชังไม่ และไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยฎีกาประการอื่นของโจทก์ต่อไป
พิพากษายืน
(วิกรม เมาลานนท์ รื่น วิไลชนม์ ยิ่งศักดิ์ กฤษณจินดา)

Share