คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1125/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ซึ่งเป็นมารดาจำเลย ได้ยกที่ดินที่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ให้แก่จำเลย ต่อมาจำเลยโอนที่ดินบางส่วนให้แก่ พ. โจทก์จึงไปพบจำเลยเพื่อขอให้จำเลยคืนที่ดินดังกล่าวให้แก่ ช. และ ส. ซึ่งเป็นพี่น้องของจำเลย จำเลยด่าโจทก์ว่า “อีเฒ่า มึงไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ยกที่ดินให้กูแล้วมึงยังจะให้กูแบ่งที่ดินให้คนอื่นอีก” ดังนี้ การที่จำเลยเรียกโจทก์ว่าอีเฒ่าและขึ้นมึงกูกับโจทก์ซึ่งเป็นมารดาเป็นการแสดงถึงความดูหมิ่นเหยียดหยาม และไม่ให้ความเคารพผู้ให้กำเนิด ทั้งการกล่าวว่าโจทก์ไม่มีศีลธรรม เป็นการกล่าวหาว่าโจทก์เป็นคนประพฤติไม่ดี ไม่ชอบ อันเป็นการลบหลู่และอกตัญญูต่อมารดาผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรง โจทก์จึงมีสิทธิถอนคืนการให้เพราะจำเลยประพฤติเนรคุณได้
ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์ยกให้จำเลยจึงเป็นการสละเจตนาการครอบครอง การครอบครองของโจทก์ผู้ให้ย่อมสิ้นสุดลง จำเลยผู้รับย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง แต่โจทก์ยังมีสิทธิเรียกที่ดินดังกล่าวคืนได้เมื่อจำเลยประพฤติเนรคุณตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ว่าที่ดินดังกล่าวจะได้มีการเปลี่ยนแปลงเป็นที่ดินมีโฉนดไปแล้วหรือไม่ โจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลย

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจดทะเบียนโอนที่ดินโฉนดเลขที่ 40084 ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา คืนแก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการขอให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนโอนคืนที่ดินโฉนดเลขที่ 40084 ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา ให้แก่โจทก์ หากไม่ดำเนินการให้ถือเอาตามคำพิพากษาแทนการแสดงเจตนาของจำเลย กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 2,000 บาท
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษายืน ให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์โดยกำหนดค่าทนายความให้ 1,800 บาท
จำเลยฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ระหว่างการพิจารณาโจทก์ถึงแก่ความตาย ศาลฎีกาอนุญาตให้นายดวงจันทร์สามีโจทก์เข้ามาเป็นคู่ความแทน
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังเป็นยุติว่า โจทก์ให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 4208 (ปัจจุบันเป็นโฉนดที่ดินเลขที่ 40084) ตำบลเมืองเพีย อำเภอบ้านไผ่ จังหวัดขอนแก่น เนื้อที่ 6 ไร่ 1 งาน 20 ตารางวา แก่จำเลย ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยมีว่า โจทก์จะเรียกถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้หรือไม่ โจทก์อ้างตนเองเป็นพยานกับมีนายชำนาญและนางสำราญเบิกความเป็นพยานโจทก์ในทำนองเดียวกันว่า เดิมโจทก์เคยให้ที่ดินตามหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส. 3 ก.) เลขที่ 84 ตำบลศรีบุญเรือง อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น แก่จำเลย นายชำนาญ และนางสำราญ โดยโจทก์ใส่ชื่อจำเลยในทะเบียนเพียงคนเดียว ภายหลังจำเลยได้โอนที่ดินบางส่วนให้แก่นายไพศาล ต่อมาประมาณเดือนเมษายน 2541 โจทก์นายชำนาญและนางสำราญทราบเรื่องจึงไปพบจำเลยที่บ้านเพื่อขอให้จำเลยแบ่งที่ดินคืนให้แก่นายชำนาญและนางสำราญโดยไปพร้อมกับนายดวงจันทร์สามีโจทก์และนางเสงี่ยม โจทก์จึงว่ากล่าวให้จำเลยโอนที่ดินให้นายชำนาญและนางสำราญ แต่จำเลยไม่ยินยอมกลับด่าโจทก์ว่า “อีเฒ่า มึงไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ยกที่ดินให้กูแล้วมึงยังจะให้กูแบ่งที่ดินให้แก่คนอื่นอีก” จำเลยนำสืบว่าไม่ได้ด่าโจทก์ เห็นว่าโจทก์มีประจักษ์พยาน 3 ปาก โดยโจทก์เป็นมารดาของจำเลย นายชำนาญและนางสำราญเป็นน้องจำเลยยืนยันว่า ได้ไปที่บ้านของจำเลยและโจทก์ขอให้จำเลยโอนที่ดินให้นายชำนาญและนางสำราญ จำเลยไม่ยินยอม และจำเลยได้พูดข้อความดังกล่าวจริง โจทก์นายชำนาญกับนางสำราญไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกับจำเลยมาก่อนแต่มีสาเหตุขัดแย้งกับนายไพศาลเท่านั้น จึงไม่มีเหตุที่จะเบิกความเพื่อปรักปรำจำเลย สำหรับตัวโจทก์ผู้เป็นมารดาซึ่งเลี้ยงดูจำเลยมารวมทั้งให้ความรักจำเลยมากกว่าคนอื่นโดยเห็นได้จากการให้ที่ดินในระหว่างบุตรด้วยกันแล้ว จำเลยจะได้รับการแบ่งที่ดินมากกว่าทุกคน หากจำเลยไม่ได้ว่าโจทก์ตามข้อความที่กล่าวมาแล้วโจทก์คงไม่นำมาเป็นสาเหตุฟ้องเป็นคดีนี้ ส่วนจำเลยมีเพียงตัวจำเลยเพียงปากเดียวซึ่งอยู่ในเหตุการณ์และนำสืบปฏิเสธลอย จึงมีน้ำหนักน้อยไม่อาจรับฟังมาหักล้างพยานโจทก์ได้ ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า จำเลยได้พูดข้อความดังกล่าวจริง
ปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยต่อไปว่า คำกล่าวของจำเลยที่ว่า “อีเฒ่า มึงไม่มีศีลธรรม ไม่ยุติธรรม ยกที่ดินให้กูแล้วมึงยังจะให้กูแบ่งที่ดินให้แก่คนอื่นอีก” เป็นถ้อยคำหมิ่นประมาทโจทก์ซึ่งเป็นผู้ให้อย่างร้ายแรงอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ใช้สิทธิเรียกถอนคืนการให้ได้หรือไม่ เห็นว่า การที่จำเลยเรียกโจทก์ว่าอีเฒ่าและขึ้นมึงกูกับโจทก์ซึ่งเป็นมารดานั้นเป็นคำหยาบ แสดงถึงความดูหมิ่นเหยียดหยามและไม่ให้ความเคารพผู้ให้กำเนิด นอกจากนี้ยังกล่าวว่าโจทก์ไม่มีศีลธรรม เป็นการกล่าวหาว่าโจทก์เป็นคนประพฤติไม่ดีไม่ชอบอันเป็นการลบหลู่และอกตัญญูต่อผู้มีพระคุณ ถือได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทโจทก์อย่างร้ายแรงแล้ว โจทก์จึงมีสิทธิถอนคืนการให้เพราะเหตุจำเลยประพฤติเนรคุณได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 531 (2) ฎีกาของจำเลยข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
ส่วนฎีกาของจำเลยข้อสุดท้ายที่ว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะทรัพย์สินแห่งการให้ได้เปลี่ยนจากหนังสือรับรองการทำประโยชน์มาเป็นโฉนดที่ดินแล้วนั้น เห็นว่า ที่ดินที่โจทก์ยกให้จำเลยเป็นที่ดินมือเปล่าซึ่งโจทก์มีเพียงสิทธิครอบครอง เมื่อโจทก์ยกให้จำเลย จึงเป็นการสละเจตนาการครอบครอง การครอบครองของโจทก์ผู้ให้ย่อมสิ้นสุดลง จำเลยผู้รับให้ย่อมได้ไปซึ่งสิทธิครอบครอง แต่โจทก์ยังมีสิทธิเรียกที่ดินคืนได้เมื่อจำเลยประพฤติเนรคุณต่อโจทก์ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ ไม่ว่าที่ดินแปลงดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็นโฉนดที่ดินไปแล้วหรือไม่ ที่ศาลล่างทั้งสองพิพากษามานั้นต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกา ฎีกาของจำเลยในข้อนี้ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน ค่าฤชาธรรมเนียมชั้นฎีกาให้เป็นพับ.

Share