แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดีและอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตาม ป.วิ.อ. มาตรา 158 (5) (6) แล้ว ซึ่งจำเลยก็เข้าใจข้อหาและให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา ดังนั้น แม้คำฟ้องของโจทก์จะไม่แนบเอกสารผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานมาท้ายฟ้อง ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 4, 7, 8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ริบของกลางเว้นแต่เงินสด 30,000 บาท คืนแก่เจ้าของ
จำเลยให้การรับสารภาพ
ศาชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสอง จำคุก 14 ปี และปรับ 400,000 บาท จำเลยให้การรับสารภาพเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 เห็นสมควรลดโทษให้กึ่งหนึ่งคงจำคุก 7 ปี และปรับ 200,000 บาท ริบของกลาง เว้นแต่เงินสด 30,000 บาท คืนแก่เจ้าของไม่ชำระค่าปรับให้กักขังตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ทั้งนี้มิให้กักขังแทนค่าปรับเกินกว่า 2 ปี
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง (เดิม), 66 วรรคสอง (ที่แก้ไขใหม่) การกระทำของจำเลยเป็นความผิดกรรมเดียวให้ลงโทษฐานจำหน่ายยาเสพติดให้โทษในประเภท 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 นอกจากที่แก้ไขให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “…มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยว่า ฟ้องของโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่ โดยจำเลยฎีกาในปัญหาข้อกฎหมายว่าการที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าโจทก์มียาเสพติดให้โทษตามฟ้องจำนวน 100 เม็ด น้ำหนัก 28.814 กรัม คำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ได้ 10.534 กรัม โดยไม่มีเอกสารการตรวจพิสูจน์จากกองพิสูจน์หลักฐานประกอบคำฟ้อง เป็นคำฟ้องที่ไม่ชัดแจ้ง เห็นว่า ตามคำฟ้องของโจทก์ได้บรรยายถึงการกระทำทั้งหลายที่อ้างว่าจำเลยได้กระทำความผิด ข้อเท็จจริงและรายละเอียดที่เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ซึ่งเกิดการกระทำนั้นๆ อีกทั้งบุคคลหรือสิ่งของที่เกี่ยวข้องด้วยพอสมควรเท่าที่จะให้จำเลยเข้าใจข้อหาได้ดี และอ้างมาตราในกฎหมายซึ่งบัญญัติว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158 (5), (6) แล้ว ซึ่งจำเลยก็เข้าใจข้อหาและให้การรับสารภาพในชั้นพิจารณา ดังนั้น แม้คำฟ้องของโจทก์จะไม่แนบเอกสารผลการตรวจพิสูจน์หลักฐานมาท้ายฟ้อง ก็หาทำให้ฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่ ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน