แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ 1 โดยระบุว่า “ข้าพเจ้า (จำเลยที่ 2) ขอเข้าเป็นผู้ค้ำประกันของนาย ม. (จำเลยที่ 1) ซึ่งทำงานในตำแหน่ง ในธนาคารศรีนคร จำกัด (โจทก์) หรือในตำแหน่งอื่นใดซึ่งจะได้มีการโยกย้ายในภายหน้า ” หมายความว่า จำเลยที่ 2 ค้ำประกันจำเลยที่ 1 ในตำแหน่งขณะที่เข้าทำงานกับโจทก์ และตำแหน่งอื่นใดซึ่งจะมีการโยกย้ายในภายหน้าด้วย ดังนั้น แม้โจทก์จะเลื่อนตำแหน่งจำเลยที่ 1 เป็นผู้จัดการสาขา ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ 2 ยินยอมค้ำประกันด้วย เมื่อจำเลยที่ 1 ได้ทุจริตต่อหน้าที่ทำความเสียหายแก่โจทก์ และผิดนัดไม่ชำระหนี้แก่โจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมเรียกให้จำเลยที่ 2 ร่วมรับผิดชำระหนี้ที่จำเลยที่ 1 ต้องชำระแก่โจทก์ได้ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 680 และ 686
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวน ๘๖,๔๒๗,๒๐๑.๔๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๘๓,๔๗๖,๙๒๑.๒๐ บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยที่ ๑ ขาดนัดและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ ๒ ให้การว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องจำเลยที่ ๒ เนื่องจากคดีนี้ไม่อยู่ในอำนาจพิจารณาพิพากษาของศาลแรงงาน โจทก์ปล่อยปละละเลยและมีส่วนร่วมกระทำความผิดกับจำเลยที่ ๑ ทั้งเมื่อโจทก์ทราบว่าจำเลยที่ ๑ กระทำความผิดอาญา โจทก์ก็ไม่แจ้งให้จำเลยที่ ๒ ทราบเพื่อจัดการแก้ไขหรือบรรเทาความเสียหาย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางพิจารณาแล้วพิพากษาให้จำเลยที่ ๑ จ่ายเงินจำนวน ๘๖,๔๒๗,๒๐๑.๔๒ บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ ๗.๕ ต่อปี ของต้นเงิน ๘๓,๔๗๖,๙๒๑.๒๐ บาท นับถัดจากวันฟ้อง (วันที่ ๒๑ กรกฎาคม ๒๕๔๒) เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ ให้ยกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ ๒
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานพิเคราะห์แล้ว คดีมีปัญหาต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์เพียงประการเดียวว่า จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ หรือไม่ เพียงใด ศาลแรงงานกลางรับฟังข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ ๑ เป็นลูกจ้างโจทก์ซึ่งเป็นนิติบุคคลประกอบธุรกิจธนาคารพาณิชย์ โดยมีจำเลยที่ ๒ เป็นผู้ค้ำประกันการทำงาน เริ่มทำงานในตำแหน่งพนักงานทดสอบสำนักงานใหญ่ ต่อมาได้รับแต่งตั้งให้ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการสาขาสระบุรีและหนองแค โจทก์ลงโทษจำเลยที่ ๑ โดยการไล่ออกตั้งแต่วันที่ ๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๒ โดยอ้างว่าจำเลยที่ ๑ ทุจริตต่อหน้าที่เป็นเหตุให้โจทก์เสียหาย เป็นเงิน ๘๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท และให้จำเลยที่ ๒ ในฐานะผู้ค้ำประกันการทำงานร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ด้วย พิเคราะห์หนังสือค้ำประกันแล้วปรากฏว่า จำเลยที่ ๒ ทำหนังสือค้ำประกันการทำงานของจำเลยที่ ๑ ตั้งแต่วันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๑๘ ในตำแหน่งพนักงานทดสอบสำนักงานใหญ่ โดยระบุว่า “ข้าพเจ้า (จำเลยที่ ๒) ขอเข้าเป็นผู้ค้ำประกันของนายมนู มะโนน้อม (จำเลยที่ ๑) ซึ่งทำงานในตำแหน่ง
ในธนาคารศรีนคร จำกัด (โจทก์) หรือในตำแหน่งอื่นใดซึ่งจะได้มีการโยกย้ายในภายหน้า
” หมายความว่า จำเลยที่ ๒ ค้ำประกันจำเลยที่ ๑ ในตำแหน่งขณะที่เข้าทำงานกับโจทก์ และตำแหน่งอื่นใดซึ่งจะมีการโยกย้ายในภายหน้าด้วย ดังนั้น แม้โจทก์จะเลื่อนตำแหน่งจำเลยที่ ๑ เป็นผู้จัดการสาขา ก็ต้องถือว่าจำเลยที่ ๒ ยินยอมค้ำประกันด้วย เมื่อจำเลยที่ ๑ ผู้ซึ่งจำเลยที่ ๒ ค้ำประกันได้ทุจริตต่อหน้าที่ทำความเสียหายแก่โจทก์จำนวน ๘๓,๐๐๐,๐๐๐ บาท และผิดนัดไม่ชำระหนี้ให้แก่โจทก์ โจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ย่อมเรียกให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดชำระหนี้ที่จำเลยที่ ๑ ต้องชำระแก่โจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๖๘๐ และ ๖๘๖ ที่ศาลแรงงานกลางพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ ๒ มานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ ๒ ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ ๑ ถ้าจำเลยที่ ๑ ไม่ชำระก็ให้จำเลยที่ ๒ รับผิดชดใช้เงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยแทน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลแรงงานกลาง.