แหล่งที่มา : ADMIN
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยโดยบรรยายฟ้องว่าเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษเงินสะสมค่าเครื่องแบบค่าต่อทะเบียนรถยนต์ค่าน้ำมันรถยนต์ค่าภาษีเงินได้ค่ารถประจำตำแหน่งและโบนัสพิเศษเป็นค่าจ้างต้องนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าด้วยจำเลยให้การว่าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยเพราะเป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์มีความผิดโดยมิได้ต่อสู้ว่าเงินทั้ง8รายการดังกล่าวเป็นค่าจ้างหรือไม่เช่นนี้เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้วศาลย่อมต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเป็นจำนวนเงินเท่าใดโดยคำนวณจากอายุงานและค่าจ้างเป็นหลักเมื่อรายการใดถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้างตามกฎหมายอันจะพึงนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้วโจทก์ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องในเงินจำนวนนั้นการที่ศาลวินิจฉัยว่าเงินและสิ่งของที่โจทก์ได้รับรวม8รายการมิใช่ค่าจ้างจึงเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับประเด็นไม่เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นหรือเป็นเรื่องที่ถือว่าจำเลยยอมรับแล้ว. เงินรางวัลเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้จากผลกำไรซึ่งแล้วแต่ผู้บริหารจะกำหนดเองและไม่แน่นอนมิใช่เป็นเงินที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรงส่วนค่าครองชีพพิเศษก็มิได้แยกจำนวนไว้ต่างหากโดยกำหนดรวมไว้เป็นเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษผลจึงเป็นว่าการจ่ายเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บริหารของจำเลยที่จะกำหนดและเป็นจำนวนไม่แน่นอนเงินประเภทนี้จึงมิใช่ค่าจ้าง. จำเลยได้จ่ายเงินสะสมสมทบโดยมิได้หักเงินเดือนของลูกจ้างและได้จ่ายสมทบนับแต่พนักงานของจำเลยได้รับการบรรจุเป็นลูกจ้างประจำส่วนสิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับเงินสะสมก็ต่อเมื่อออกจากงานหากออกจากงานก่อนครบ5ปีหรือออกเพราะทุจริตต่อหน้าที่หรือประมาทเลินเล่อหรือต้องจำคุกโดยคำพิพากษาก็ไม่มีสิทธิได้รับนอกจากจำเลยจะพิจารณาเห็นสมควรเงินประเภทนี้จึงมิใช่เงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานอันพึงถือว่าเป็นค่าจ้าง. ค่าต่อทะเบียนรถยนต์ปีละ1,000บาทจำเลยจ่ายให้แก่พนักงานบางระดับที่ไม่มีรถยนต์ประจำตำแหน่งแต่สำหรับโจทก์ซึ่งมีรถยนต์ประจำตำแหน่งได้รับอนุมัติช่วยเหลือด้วยซึ่งเป็นเพียงการช่วยเหลือในด้านสวัสดิการมิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้าง. จำเลยเติมน้ำมันให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ได้ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งมีจำนวนมากน้อยแล้วแต่การใช้งานแต่ไม่เกินเดือนละ300ลิตรหากใช้น้อยก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องในส่วนที่ใช้ยังไม่ครบจึงเป็นจำนวนไม่แน่นอนและมิใช่การเหมาจ่ายกรณีเป็นเรื่องที่จำเลยอนุเคราะห์โจทก์เกี่ยวกับการใช้พาหนะมิใช่เงินหรือสิ่งของที่จ่ายเป็นการตอบแทนการทำงานอันจะถือเป็นค่าจ้าง. ภาษีเงินได้ที่จำเลยออกให้โจทก์โดยมิได้หักจากเงินเดือนของโจทก์เป็นการที่จำเลยจัดให้มีขึ้นเพื่อช่วยเหลือลูกจ้างให้ได้รับค่าจ้างเต็มตามสัญญาจ้างเพื่อความมั่นคงในการดำรงชีพและดำรงฐานะให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ดียิ่งขึ้นเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดหาให้แก่ลูกจ้างมิใช่เป็นเงินที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานของลูกจ้างจึงมิใช่ค่าจ้าง. จำเลยจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งให้โจทก์ได้ใช้ก็เพื่อประโยชน์ในการที่โจทก์ใช้เป็นพาหนะเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนแม้บางเวลาโจทก์อาจนำไปใช้เป็นส่วนตัวได้บ้างก็เป็นเรื่องการอนุเคราะห์ในด้านความสะดวกสบายบางประการเท่านั้นกรณีไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพของการอำนวยประโยชน์ของความสะดวกสบายเช่นนี้มาเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนได้จึงมิใช่ค่าจ้าง. เงินโบนัสไม่ใช่เงินซึ่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานกำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างนายจ้างจะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายอย่างใดก็ได้ตามแต่นายจ้างจะเป็นผู้กำหนดและการจ่ายเงินโบนัสพิเศษก็เป็นไปตามดุลพินิจของกรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยเป็นผู้กำหนดและเป็นจำนวนไม่แน่นอนจึงมิใช่ค่าจ้าง. โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลแรงงานกลางเรียกพยานเอกสารจากจำเลยหลายฉบับหลายครั้งคำร้องทุกฉบับโจทก์ได้ชี้แจงแสดงเหตุที่จะต้องขอให้เรียกเอกสารจากจำเลยและศาลแรงงานกลางได้สอบถามรายละเอียดของข้อเท็จจริงในเอกสารต่างๆจากโจทก์บ้างแล้วมีความเห็นว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีและไม่มีความจำเป็นต้องนำสืบดังนี้เป็นการที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้งดสืบพยานหลักฐานดังกล่าวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา86ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31เมื่อโจทก์ได้เบิกความถึงข้อเท็จจริงต่างๆในเอกสารเหล่านั้นโดยไม่จำต้องอาศัยพยานเอกสารการเรียกเอกสารดังกล่าวจึงไม่จำเป็นแก่คดีศาลแรงงานกลางชอบที่จะสั่งยกคำร้องของโจทก์ได้. พยานเอกสารที่จำเลยนำมาสืบแม้เป็นเพียงภาพถ่ายมิใช่ต้นฉบับเอกสารแต่เมื่อจำเลยส่งอ้างเป็นพยานต่อศาลโจทก์มิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารนั้นพยานโจทก์และพยานจำเลยหลายปากก็ได้เบิกความรับรองและอ้างถึงเอกสารดังกล่าวซึ่งเท่ากับยอมรับว่าเอกสารนั้นมีอยู่จริงและมีข้อความตรงกับต้นฉบับถือได้ว่าโจทก์ยอมรับว่าภาพถ่ายเอกสารนั้นถูกต้องแล้วศาลย่อมรับฟังเอกสารดังกล่าวได้หาเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา93ไม่.
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นลูกจ้างประจำของจำเลยตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบโจทก์ปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริตแต่เกิดขัดแย้งกับกรรมการผู้จัดการและเจ้าหน้าที่ระดับสูงของจำเลยกรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยจึงมีคำสั่งย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการธนาคารซึ่งไม่มีเครื่องมือเครื่องใช้ในการทำงานและไม่มีพนักงานใต้บังคับบัญชาโจทก์ได้รับมอบหมายให้ทำงานเพียง2ครั้งในช่วงเวลา2ปีจำเลยไม่พิจารณาขึ้นเงินเดือนให้โจทก์2ปีติดต่อกันแล้วมีหนังสือให้โจทก์ออกจากงานเป็นการเลิกจ้างโดยกลั่นแกล้งโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมขอให้บังคับจำเลยรับโจทก์กลับเข้าทำงานและใช้ค่าเสียหายจนกว่าจะรับกลับเข้าทำงานหากไม่อาจปฏิบัติได้ให้ใช้ค่าเสียหายค่าชดเชยสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า
จำเลยให้การว่าตำแหน่งผู้ตรวจการธนาคารเป็นตำแหน่งสูงสุดในระดับผู้จัดการฝ่ายและอยู่ในระดับเดียวกับตำแหน่งผู้จัดการฝ่ายตรวจสอบที่โจทก์เคยดำรงอยู่เดิมมีรายได้สวัสดิการและสิทธิอื่นๆเท่าเดิมโจทก์ไม่ยอมทำงานเมื่อจำเลยเตือนโจทก์โจทก์เสนองานที่ไม่มีคุณภาพไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แก่ธนาคารจำเลยจึงพิจารณาไม่ขึ้นเงินเดือนให้โจทก์2ปีติดต่อกันซึ่งอยู่ในเกณฑ์ที่โจทก์จะถูกเลิกจ้างตามคำสั่งของธนาคารที่132/2523จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์เพราะการกระทำของโจทก์เป็นการกระทำที่จงใจทำให้จำเลยได้รับความเสียหายฝ่าฝืนข้อบังคับหรือระเบียบเกี่ยวกับการทำงานหรือคำสั่งอันชอบด้วยกฎหมายของนายจ้างซึ่งได้เตือนเป็นหนังสือแล้วจำเลยจึงมีสิทธิเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้องและไม่อาจรับโจทก์กลับเข้าทำงานได้ขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าการโยกย้ายโจทก์ไปดำรงตำแหน่งผู้ตรวจการธนาคารชอบด้วยระเบียบปฏิบัติฟังไม่ได้ว่าผู้บริหารระดับสูงของจำเลยสมคบกันกลั่นแกล้งโยกย้ายโจทก์จำเลยเลิกจ้างโจทก์เพราะโจทก์ไม่มีผลงานจึงไม่ได้รับการพิจารณาขึ้นเงินเดืน2ปีติดต่อกันคำสั่งเลิกจ้างโจทก์มิใช่เป็นการกลั่นแกล้งของเจ้าหน้าที่บริหารชั้นสูงของจำเลยจึงมิใช่เป็นการเลิกจ้างโดยไม่เป็นธรรมโจทก์มีสิทธิได้รับค่าชดเชย6เดือนและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า1เดือนซึ่งจำเลยคำนวณจากเงินเดือนค่าครองชีพค่าอาหารค่าน้ำมันรถยนต์และโจทก์ได้รับไปแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่าโจทก์ฟ้องเรียกค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยโดยบรรยายฟ้องว่าเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษเงินสะสมค่าเครื่องแบบค่าต่อทะเบียนรถยนต์ค่าน้ำมันรถยนต์ค่าภาษีเงินได้ค่ารถประจำตำแหน่งและโบนัสพิเศษเป็นค่าจ้างที่ต้องนำมาเป็นฐานคำนวณค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจำเลยให้การต่อสู้ว่าไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยโดยมิได้ต่อสู้ว่าเงินจำนวนใดเป็นค่าจ้างดังนี้ตามประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานนั้นค่าชดเชยเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเมื่อเลิกจ้างและการคำนวณค่าชดเชยนั้นก็ต้องเป็นไปตามข้อ46ซึ่งกำหนดว่าให้นายจ้างจ่ายค่าชดเชยให้แก่ลูกจ้างประจำซึ่งเลิกจ้างโดยถือหลักอายุงานของลูกจ้างเป็นเกณฑ์จ่ายดังนั้นค่าชดเชยที่ลูกจ้างจะมีสิทธิได้รับเพียงใดจึงต้องคำนวณโดยถืออายุงานและค่าจ้างเป็นหลักและตามข้อ2ได้ให้คำวิเคราะห์ศัพท์คำว่าค่าจ้างไว้ว่าหมายความว่าเงินหรือเงินและสิ่งของที่นายจ้างจ่ายให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานในเวลาทำงานปกติของวันทำงานหรือจ่ายให้โดยคำนวณตามผลงานที่ลูกจ้างทำได้และหมายความรวมถึงเงินหรือเงินและสิ่งของที่จ่ายให้ในวันหยุดซึ่งลูกจ้างไม่ได้ทำงานและในวันลาด้วยทั้งนี้ไม่ว่าจะกำหนดคำนวณหรือจ่ายเป็นการตอบแทนในวิธีอย่างไรและไม่ว่าจะเรียกชื่ออย่างไรเช่นนี้เมื่อโจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าจากจำเลยแล้วศาลก็ย่อมต้องพิจารณาต่อไปว่าโจทก์มีสิทธิเรียกร้องเป็นจำนวนเงินเท่าใดโดยคำนวณตามหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นเมื่อรายการใดถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้างตามกฎหมายอันพึงนำมารวมคำนวณเป็นค่าชดเชยและสินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้าแล้วโจทก์ก็ย่อมไม่มีสิทธิเรียกร้องตามกฎหมายในเงินจำนวนนั้นที่ศาลแรงงานกลางวินิจฉัยว่าเงินและสิ่งของที่โจทก์ได้รับรวม8รายการมิใช่ค่าจ้างจึงเป็นเรื่องเกี่ยวเนื่องกับประเด็นกรณีหาใช่เป็นเรื่องนอกประเด็นหรือเป็นเรื่องที่ถือว่าจำเลยยอมรับแล้วไม่
เงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษซึ่งเงินรางวัลเป็นเงินที่นายจ้างจ่ายให้จากผลกำไรซึ่งแล้วแต่ผู้บริหารจะกำหนดเองและไม่แน่นอนมิใช่เป็นเงินที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานโดยตรงส่วนค่าครองชีพพิเศษก็มิได้มีการแยกจำนวนกันไว้ต่างหากว่าโจทก์จะได้รับเป็นเงินปีละเท่าใดจำเลยได้กำหนดรวมไว้เป็นเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษเท่านั้นจึงไม่อาจแบ่งแยกให้เห็นกันได้โดยชัดแจ้งเมื่อจำนวนเงินยังคงรวมกันอยู่เช่นนี้ผลจึงเป็นว่าการจ่ายเงินรางวัลและค่าครองชีพพิเศษจึงต้องขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้บริหารของจำเลยที่จะกำหนดและเป็นจำนวนไม่แน่นอนด้วยดังนั้นเงินประเภทนี้จึงมิใช่ค่าจ้าง
เงินสะสมจำเลยได้ถือปฏิบัติตามระเบียบธนาคารทหารไทยจำกัดว่าด้วยเงินทุนสะสมพ.ศ.2520ซึ่งมีวัตถุประสงค์ที่จะผดุงฐานะพนักงานของธนาคารเมื่อออกจากงานด้วยวิธีให้มีเงินทุนสะสมไว้เป็นบำเหน็จตามสมควรจำเลยได้จ่ายเงินสะสมสมทบโดยมิได้หักจากเงินเดือนของลูกจ้างและได้จ่ายสมทบนับแต่พนักงานของจำเลยได้รับการบรรจุเป็นลูกจ้างประจำส่วนสิทธิที่ลูกจ้างจะได้รับเงินสะสมก็ต่อเมื่อออกจากงานแต่ถ้าหากลูกจ้างลาออกจากงานก่อนครบกำหนด5ปีหรือออกตามคำสั่งของธนาคารเพราะกระทำการทุจริตต่อหน้าที่หรือประมาทเลินเล่อหรือต้องจำคุกโดยคำพิพากษาลูกจ้างผู้นั้นไม่มีสิทธิได้รับนอกจากจำเลยจะพิจารณาตามที่เห็นสมควรเช่นนี้จึงเห็นได้ว่าเงินประเภทนี้มิใช่เงินที่นายจ้างให้แก่ลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานอันพึงถือว่าเป็นค่าจ้างด้วย
ค่าต่อทะเบียนรถยนต์จำเลยจะจ่ายเงินประเภทนี้ให้แก่พนักงานบางระดับที่ไม่มีรถยนต์ประจำตำแหน่งแต่สำหรับโจทก์นี้เป็นกรณีที่ผู้จัดการฝ่ายอำนวยการกลางของจำเลยได้อนุมัติให้โจทก์ได้รับการช่วยเหลือเช่นเดียวกับพนักงานชั้นก.เท่านั้นดังนั้นจึงเห็นได้ว่าจำเลยจ่ายเงินประเภทนี้ให้แก่โจทก์ก็เป็นเพียงการช่วยเหลือโจทก์ในด้านสวัสดิการมิใช่จ่ายเพื่อตอบแทนการทำงานให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างถือไม่ได้ว่าเป็นค่าจ้างตามกฎหมาย
ค่าน้ำมันรถยนต์เดือนละ300ลิตรจำเลยเติมน้ำมันให้แก่โจทก์เพื่อให้โจทก์ได้ใช้รถยนต์ประจำตำแหน่งซึ่งจะมีจำนวนมากหรือน้อยก็ย่อมแล้วแต่การใช้งานซึ่งจะไม่เกินเดือนละ300ลิตรหากใช้น้อยโจทก์ก็ไม่มีสิทธิเรียกร้องในส่วนที่ใช้ยังไม่ครบนั้นดังนั้นการจ่ายน้ำมันของจำเลยให้แก่โจทก์จึงเป็นจำนวนที่ไม่แน่นอนและมิใช่เป็นการเหมาจ่ายกรณีดังกล่าวจึงเป็นเรื่องที่จำเลยอนุเคราะห์โจทก์เกี่ยวกับการใช้พาหนะเงินประเภทนี้จึงมิใช่เงินหรือสิ่งของที่จำเลยจ่ายให้แก่โจทก์ผู้เป็นลูกจ้างเป็นการตอบแทนการทำงานอันจะถือเป็นค่าจ้าง
ค่าภาษีเงินได้เห็นว่าการเสียภาษีเงินได้นี้ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องเสียต่อกรมสรรพากรและโดยทั่วไปแล้วในแต่ละปีผู้มีรายได้จะเสียในจำนวนที่ไม่แน่นอนซึ่งขึ้นอยู่กับรายได้สิทธิในการได้รับการหักลดหย่อนต่างๆและตามอัตราที่ประมวลรัษฎากรกำหนดไว้จำเลยได้จัดให้มีขึ้นก็เป็นเพียงการช่วยเหลือลูกจ้างให้ได้รับค่าจ้างได้เต็มอัตราตามสัญญาจ้างเพื่อความมั่นคงในการดำรงชีพและดำรงฐานะให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ดียิ่งขึ้นเงินประเภทนี้จึงเป็นสวัสดิการที่จำเลยจัดหาให้แก่ลูกจ้างมิใช่เป็นเงินที่ให้เพื่อตอบแทนการทำงานของลูกจ้างจึงมิใช่ค่าจ้าง
ค่ารถยนต์ประจำตำแหน่งเห็นว่าการที่จำเลยจัดรถยนต์ประจำตำแหน่งให้โจทก์ได้ใช้ก็เพื่อประโยชน์ในการที่โจทก์ใช้เป็นพาหนะมายังสำนักงานและเพื่อปฏิบัติงานในหน้าที่ของตนแม้บางเวลาโจทก์อาจนำไปใช้เป็นส่วนตัวได้บ้างก็เป็นเรื่องการอนุเคราะห์ในด้านความสะดวกสบายบางประการเท่านั้นกรณีไม่อาจเปลี่ยนแปลงสภาพของการอำนวยประโยชน์ของความสะดวกสบายเช่นนี้มาเป็นจำนวนเงินที่แน่นอนมิฉะนั้นแล้วสิ่งอื่นใดที่เป็นการอำนวยความสะดวกในการปฏิบัติหน้าที่ในสำนักงานก็จะถือเป็นค่าจ้างไปเสียทั้งสิ้นเงินที่โจทก์เรียกร้องประเภทนี้จึงมิใช่ค่าจ้างตามกฎหมาย
โบนัสพิเศษเฉลี่ยรายปีเงินประเภทนี้เป็นเงินที่กรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยจัดสรรจ่ายให้แก่ลูกจ้างจากกำไรสุทธิและมิได้จ่ายให้แก่พนักงานของจำเลยทุกคนเห็นว่าเงินโบนัสไม่ใช่เงินซึ่งประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการคุ้มครองแรงงานกำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่ต้องจ่ายให้แก่ลูกจ้างหากนายจ้างจะจ่ายให้แก่ลูกจ้างนายจ้างจะกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจ่ายอย่างใดก็ได้ตามแต่นายจ้างจะเป็นผู้กำหนดและการจ่ายก็เป็นไปตามดุลพินิจของกรรมการผู้จัดการใหญ่ของจำเลยเป็นผู้กำหนดและเป็นจำนวนไม่แน่นอนเงินประเภทนี้จึงมิใช่ค่าจ้าง
คำร้องของโจทก์ทุกฉบับโจทก์ได้ชี้แจงแสดงเหตุที่จะต้องขอให้เรียกเอกสารจากจำเลยและศาลแรงงานกลางได้สอบถามรายละเอียดของข้อเท็จจริงในเอกสารต่างๆจากโจทก์บ้างและครั้งสุดท้ายตามคำร้องของโจทก์ฉบับลงวันที่4พฤษภาคม2527นั้นโจทก์ก็ได้แสดงรายละเอียดและประโยชน์ต่างๆอันพึงได้รับจากเอกสารเหล่านี้โดยชัดแจ้งซึ่งศาลแรงงานได้พิจารณาแล้วมีความเห็นสรุปได้ว่าไม่เกี่ยวข้องกับคดีและไม่มีความจำเป็นต้องนำสืบเช่นนี้เห็นว่าศาลแรงงานกลางได้มีคำสั่งให้งดสืบพยานหลักฐานดังกล่าวนั้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา86ประกอบด้วยพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงานพ.ศ.2522มาตรา31และศาลฎีกาได้พิจารณาแล้วเห็นว่าโจทก์ได้เบิกความถึงข้อเท็จจริงต่างๆในเอกสารเหล่านี้ในเรื่องอันเป็นสาเหตุที่จะฟังว่ามีการกลั่นแกล้งโจทก์โดยไม่จำต้องอาศัยพยานเอกสารการเรียกเอกสารดังกล่าวจึงไม่จำเป็นแก่คดีที่ศาลแรงงานกลางมีคำสั่งให้ยกคำร้องของโจทก์ชอบด้วยเหตุผลดังกล่าวแล้ว
แม้เอกสารที่จำเลยนำมาสืบจะเป็นเพียงภาพถ่ายมิใช่ต้นฉบับเอกสารก็ตามแต่เมื่อจำเลยส่งอ้างเป็นพยานต่อศาลโจทก์มิได้คัดค้านความถูกต้องแท้จริงของเอกสารนั้นแต่ประการใดนอกจากนั้นพยานโจทก์และพยานจำเลยหลายปากก็ได้เบิกความรับรองและอ้างถึงเอกสารดังกล่าวไว้ซึ่งเท่ากับยอมรับว่าเอกสารดังกล่าวมีอยู่จริงและมีข้อความตรงกับต้นฉบับถือได้ว่าโจทก์ยอมรับว่าภาพถ่ายเอกสารนั้นถูกต้องแล้วศาลจึงรับฟังเอกสารดังกล่าวได้หาเป็นการขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา93ไม่
พิพากษายืน.