คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7250/2537

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ฟ้องว่าบิดาโจทก์ขายทีดินพิพาทให้ ค.ต่อมาค.ขายที่ดินนั้นให้จำเลย โดยที่ดินพิพาทโจทก์คงมีส่วนอยู่กึ่งหนึ่งขอให้ขับไล่จำเลยออกจากที่ดินพิพาทส่วนนี้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาทั้งแปลงและครอบครองตลอดมา ขอให้พิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้อง ดังนี้ จำเลยมิได้ให้การยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และมิได้โต้แย้งการครอบครองโดยอ้างว่ามีการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ จึงไม่ประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองและการบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือ การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่าโจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปีนับแต่ถูกแย่งการครอบครองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการพิพากษานอกประเด็นที่่พิพาทกัน และเป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้โจทก์จะมิได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนายที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง แต่คดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า บิดาโจทก์ขายที่ดิน น.ส.3 เลขที่ 100 ให้นายนายพา และนายคำพาขายต่อให้จำเลยโดยที่ดินดังกล่าวนั้นโจทก์กับน้องโจทก์มีส่วนอยู่กึ่งหนึ่ง ขอให้บังคับจำเลยแบ่งที่ดินตามน.ส.3 เลขที่ 100 ให้โจทก์กับน้องของโจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่นาสวนที่ตกเป็นสิทธิของโจทก์กับน้องของโจทก์ และส่งมอบ น.ส.3 ฉบับดังกล่าวคืน หากไม่ปฏิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนาของจำเลย และให้จำเลยใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์
จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยซื้อที่ดินตามฟ้องทั้งแปลงและครอบครองตลอดมา ขอให้ยกฟ้องและพิพากษาว่า จำเลยเป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้อง ห้ามโจทก์และบริวารเข้าเกี่ยวข้อง
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ศาลได้เคยวินิจฉัยในคดีแพ่งของศาลชั้นต้นว่า จำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทกึ่งหนึ่ง คดีถึงที่สุด ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงผูกพันจำเลย จำเลยจึงมีสิทธิครอบครองเพียงกึ่งหนึ่ง ขอให้ยกฟ้องแย้ง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยแบ่งที่ดินตาม น.ส.3 เลขที่ 100 ให้โจทก์และน้องของโจทก์กึ่งหนึ่ง ให้จำเลยและบริวารออกไปจากที่ดินส่วนที่แบ่งดังกล่าว ให้จำเลยส่งมอบหนังสือรับรองการทำประโยชน์ฉบับดังกล่าวให้โจทก์นำไปจดทะเบียนแบ่งแยกที่ดินดังกล่าว ให้จำเลยชำระเงิน 2,000 บาท ให้โจทก์ยกฟ้องแย้ง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องโจทก์ด้วยนอกจากที่่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้โจทก์ฟ้องว่า บิดาโจทก์ขายที่ดินพิพาทให้นายคำพา ทาปทา แล้วต่อมานายคำพาขายที่ดินนั้นให้จำเลยโดยที่ดินพิพาทโจทก์คงมีส่วนอยู่กึ่งหนึ่ง จึงขอให้ขับไล่จำเลยให้ออกจากที่ดินพิพาทส่วนนี้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยซื้อที่ดินพิพาทมาทั้งแปลงและครอบครองตลอดมา ขอให้ศาลพิพากษาว่าจำเลยมีสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทส่วนที่โจทก์ฟ้อง เห็นได้ว่าจำเลยมิได้ให้การยอมรับว่าที่ดินพิพาทเป็นของโจทก์ และจำเลยก็มิได้โต้แย้งการครอบครองโดยอ้างว่ามีการเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือฉะนั้นประเด็นเรื่องแย่งการครอบครองก็ดี เรื่องบอกกล่าวเปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือก็ดี จึงไม่มี การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 1 วินิจฉัยว่า โจทก์มิได้ฟ้องเอาคืนซึ่งการครอบครองภายใน 1 ปี นับแต่ถูกแย่งการครอบครองแล้วพิพากษายกฟ้องโจทก์ จึงเป็นการไม่ชอบเพราะเป็นการพิพากษานอกประเด็นที่พิพาทกัน และปัญหาเกี่ยวกับการพิพากษานอกประเด็นหรือเกินคำขอนี้ เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้โจทก์จะมิได้ฎีกาปัญหานี้ขึ้นมา ศาลฎีกาก็มีอำนาจที่จะยกขึ้นวินิจฉัยได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 142(5) แต่เนื่องด้วยคดีนี้ต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริง จึงเห็นสมควรย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 พิพากษาใหม่ในประเด็นว่าโจทก์หรือจำเลยเป็นเจ้าของที่ดินพิพาท
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 1 ให้ศาลอุทธรณ์ภาค 1 ทำการพิพากษาใหม่ตามประเด็นที่ศาลฎีกากำหนด

Share