คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 725/2536

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

การตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 138 ต้องเป็นการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี โดยมิได้มีการถอนฟ้อง หากคู่ความตกลงกันหลังจากถอนฟ้องแล้วย่อมไม่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความเพราะไม่มีคำฟ้องที่จะทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันอีก ข้อตกลงดังกล่าวเป็นเพียงข้อแถลงของคู่ความ

ย่อยาว

คดีนี้สืบเนื่องมาจากโจทก์นำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดและขายทอดตลาดที่ดินตาม น.ส.3 และที่ดินตาม น.ส.3ก. ซึ่งมีชื่อผู้ร้องเป็นผู้ถือสิทธิครอบครองทั้งสองแปลง เพื่อบังคับชำระหนี้ของจำเลยให้แก่โจทก์ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นผู้ร้องยื่นคำร้องขอกันส่วนเงินที่ขายได้จำนวน 161,700 บาท ให้แก่ผู้ร้องกึ่งหนึ่งโดยอ้างว่าเป็นภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายของจำเลยและหนี้ตามคำพิพากษามิใช่หนี้ร่วมระหว่างจำเลยกับผู้ร้อง
โจทก์ยื่นคำคัดค้านว่า หนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องเกิดจากการที่จำเลยกู้ยืมเงินโจทก์ไปเพื่อใช้จ่ายในครอบครัวและลงทุนประกอบอาชีพระหว่างจำเลยกับผู้ร้องผู้ร้องได้รู้เห็นยินยอมด้วย เป็นหนี้ร่วม ผู้ร้องไม่มีสิทธิขอกันส่วน ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องของผู้ร้อง
ผู้ร้องอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน
ผู้ร้องฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “แม้ในชั้นร้องขัดทรัพย์ผู้ร้องจะตกลงกับโจทก์ว่า ผู้ร้องจะชำระหนี้แทนจำเลยภายในเวลาที่กำหนดเพื่อให้โจทก์ถอนการยึดทรัพย์ที่ร้องขัดทรัพย์ และในที่สุดผู้ร้องก็ผิดนัดไม่นำเงินมาชำระหนี้ให้โจทก์ก็ตาม ข้อตกลงดังกล่าวก็หาเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 138 ไม่ เพราะการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันตามบทกฎหมายดังกล่าวต้องเป็นการตกลงหรือประนีประนอมยอมความกันในประเด็นแห่งคดี โดยมิได้มีการถอนคำฟ้อง เมื่อผู้ร้องขัดทรัพย์ได้ถอนคำร้องขัดทรัพย์เสียแล้ว จึงไม่มีคำฟ้องที่จะทำการตกลงหรือประนีประนอมยอมความอีกต่อไป ข้อตกลงดังกล่าวจึงไม่เป็นการประนีประนอมยอมความ แต่เป็นเพียงข้อแถลงของคู่ความประกอบคำร้องขัดทรัพย์เพื่อให้ศาลพิจารณา สั่งคำร้องดังกล่าวเท่านั้น ทั้งปรากฏว่าศาลชั้นต้นสั่งเพียงว่า อนุญาตให้ถอนคำร้องขัดทรัพย์ได้ และจำหน่ายคดีจากสารบบความ มิได้สั่งหรือพิพากษาตามที่ผู้ร้องตกลงกับโจทก์แต่อย่างใด นอกจากนี้ตามคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์ฉบับลงวันที่ 11 พฤศจิกายน 2431 ผู้ร้องยังสงวนสิทธิที่ผู้ร้องมีเหนือทรัพย์สินที่โจทก์นำยึดในคดีนี้ และตามรายงานกระบวนพิจารณาของศาลชั้นต้นลงวันที่เดียวกันระบุว่า “…วันนี้ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอถอนคำร้องขัดทรัพย์และแถลงว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับทรัพย์ที่ยึดอีกต่อไป ไม่ร้องขัดทรัพย์อีก…” และศาลได้ขีดฆ่าคำว่า “ไม่ขอร้องกันส่วนด้วย” ออก แสดงว่าผู้ร้องจะไม่เกี่ยวข้องกับที่ดินเฉพาะการร้องขัดทรัพย์เท่านั้น แต่ยังติดใจที่จะขอกันส่วนอยู่ ดังนั้น สิทธิของผู้ร้องในการขอกันส่วนจึงยังมีอยู่ และการใช้สิทธิของผู้ร้องหาเป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่เพราะผู้ร้องได้แสดงเจตนาสงวนสิทธิไว้แล้ว ที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องขอกันส่วนของผู้ร้องและศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายืน ยังไม่ต้องด้วยความเห็นของศาลฎีกาฎีกาของผู้ร้องฟังขึ้น”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 และคำสั่งศาลชั้นต้นให้ศาลชั้นต้นทำการไต่สวนคำร้องขอกันส่วนของผู้ร้องต่อไป

Share