คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7238/2537

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

การที่จะพิจารณาว่าภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 หรือไม่ ต้องพิจารณาถึงสามยทรัพย์เป็นสำคัญ มิใช่พิจารณาถึงตัวบุคคลที่อยู่ในสามยทรัพย์แม้ว่าตัวบุคคลที่อยู่ในสามยทรัพย์จะมิได้ใช้ภารยทรัพย์ แต่ถ้าภารยทรัพย์ยังมีประโยชน์ต่อสามยทรัพย์อยู่ ก็จะถือว่าภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์มิได้ สามยทรัพย์เป็นที่ดิน 3 แปลงอยู่ติดกัน แต่เป็นของเจ้าของคนเดียวกัน ฉะนั้นเจ้าของสามยทรัพย์จึงเลือกที่จะทำประตูออกไปสู่ภารยทรัพย์ซึ่งอยู่ติดกับสามยทรัพย์แปลงใดก็ได้ และถ้าเจ้าของสามยทรัพย์ขายสามยทรัพย์แปลงสุดท้ายซึ่งมิได้ทำประตูเข้าออกให้ผู้อื่นไป ผู้ซื้อก็ยังเป็นเจ้าของสามยทรัพย์แปลงนั้นอยู่และมีสิทธิใช้ภารยทรัพย์ที่ติดกับสามยทรัพย์นั้นได้ ดังนี้ภารจำยอมส่วนนี้จึงไม่ได้หมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 132477, 132478, 132479เป็นของนางพาณี โทณวณิก ต่อมาวันที่ 24 เมษายน 2521 ได้ขายให้แก่ร้อยตำรวจโทอรรถวิโรจน์ ศรีตุลา และได้จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 15217 ตกเป็นทางเดินภารจำยอมบางส่วนแก่ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวกว้างประมาณ 3 เมตร ยาวประมาณ 20 เมตรต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 15217 จากนางพาณี และร้อยตำรวจโทอรรถวิโรจน์ขายที่ดินทั้งสามโฉนดดังกล่าวให้แก่จำเลย จำเลยใช้ประโยชน์จากภารจำยอมในที่ดินของโจทก์เพียงบางส่วน ภารจำยอมที่เหลือถัดเข้าไปทางบ้านโจทก์ไม่ได้อยู่ใช้ประโยชน์ จึงหมดความจำเป็นและประโยชน์ต่อไป จำเลยไม่ยอมให้โจทก์ใช้ประโยชน์ในที่ดินดังกล่าว ขอให้พิพากษาเพิกถอนภารจำยอมในโฉนดที่ดินเลขที่ 15217 แขวงคลองตัน (ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) เขตพระโขนงกรุงเทพมหานคร ให้ระงับไปบางส่วนคือส่วนที่อยู่ติดกับด้านทิศใต้ของที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 132477, 132478, 132479 แขวงคลองตัน(ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) กรุงเทพมหานคร กว้าง 1.25 วา ยาวนับแต่เสารั้วประตูบ้านของจำเลยต้นที่ติดกับประตูรั้วบ้านโจทก์ยาวตลอดแนวไปทางทิศตะวันออกยาว 3.29 วา เป็นเนื้อที่ 4.1125 ตารางวาและให้จำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมดังกล่าวให้แก่โจทก์ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาพระโขนง หากจำเลยไม่ปฎิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดงเจตนา
จำเลยให้การว่า จำเลยได้รับสิทธิในภารจำยอมดังกล่าวตามข้อตกลงและได้ใช้เต็มพื้นที่ตลอดมา โจทก์เคยถูกจำเลยฟ้องต่อศาลชั้นต้น ขอให้รื้อถอนรั้วกำแพงที่ปิดกั้นทางภารจำยอมออกไป
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้เพิกถอนภารจำยอมในโฉนดที่ดินเลขที่ 15217แขวงคลองตัน (ที่ 11 พระโขนงฝั่งเหนือ) เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครให้ระงับไปในส่วนที่อยู่ติดกับด้านทิศใต้ของที่ดินจำเลยโฉนดเลขที่ 132477, 132478 และ 132479 แขวงคลองตัน (ที่ 11พระโขนงฝั่งเหนือ) เขตพระโขนง กรุงเทพมหานคร กว้าง 1.25 วายาวนับแต่เสารั้วประตูบ้านของจำเลยต้นที่ติดอยู่กับประตูรั้วบ้านโจทก์ยาวตลอดแนวไปทางทิศตะวันออกระยะ 3.29 วา คิดเป็นคิดเป็นเนื้อที่ 4.1125 ตารางวา โดยให้จำเลยไปจดทะเบียนเพิกถอนภารจำยอมดังกล่าว แก่โจทก์ ณ สำนักงานที่ดินกรุงเทพมหานคร สาขาสาขาพระโขนง หากจำเลยไม่ปฎิบัติตามให้ถือเอาคำพิพากษาเป็นการแสดง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงที่โจทก์และจำเลยมิได้โต้แย้งกัน ในชั้นฎีการับฟังได้ว่า เดิมที่ดินโฉนดเลขที่ 132477,132478, 132479 แขวงคลองตัน เขตพระโขนง กรุงเทพมหานครตามเอกสารหมาย จ.2 ถึง จ.4 เป็นของนางพาณี โทณวณิก ได้ขายให้แก่ร้อยตำรวจโทอรรถวิโรจน์ ศรีตุลา และได้จดทะเบียนให้ที่ดินโฉนดเลขที่ 15217 ตกเป็นทางภารจำยอมบางส่วนกว้างประมาณ 3 เมตรยาวประมาณ 20 เมตร ทางด้านทิศใต้ตามพื้นที่ภายในเส้นสีแดงและสีน้ำเงิน ตามแผนที่สังเขปบริเวณที่ดินพิพาทตามเอกสารหมาย จ.6ต่อมาโจทก์ซื้อที่ดินโฉนดเลขที่ 15217 จากนางพาณี และจำเลยซื้อที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวจากร้อยตำรวจโทอรรถวิโรจน์มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่าภารจำยอมรายพิพาทหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ อันจะเป็นเหตุให้โจทก์มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนได้หรือไม่ เห็นว่า การที่จะพิจารณาว่าภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1400 หรือไม่ต้องพิจารณาถึงสามยทรัพย์เป็นสำคัญ มิใช่พิจารณาถึงตัวบุคคลที่อยู่ในสามยทรัพย์ แม้ตัวบุคคลที่อยู่ในสามยทรัพย์จะมิได้ใช้ภารยทรัพย์ แต่ถ้าภารยทรัพย์ยังมีประโยชน์ต่อสามยทรัพย์อยู่ก็จะถือว่าภารจำยอมหมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์มิได้ คดีนี้สามยทรัพย์เป็นที่ดิน 3 แปลงอยู่ติดกัน แต่เป็นเจ้าของคนเดียวกัน ฉะนั้นเจ้าของสามยทรัพย์จึงเลือกที่จะทำประตูออกไปสู่ภารยทรัพย์ซึ่งอยู่ติดกับสามยทรัพย์แปลงใดก็ได้ และถ้าเจ้าของสามยทรัพย์ผู้นี้ขายสามยทรัพย์แปลงสุดท้ายซึ่งมิได้ทำประตูเข้าออกให้ผู้อื่นไป ผู้ซื้อก็ยังเป็นเจ้าของสามยทรัพย์แปลงนั้นอยู่และมีสิทธิใช้ภารยทรัพย์ที่ติดกับสามยทรัพย์นั้นได้ ดังนั้นภารจำยอมส่วนนี้จึงหาได้หมดประโยชน์แก่สามยทรัพย์ของผู้ที่ได้ที่ดินแปลงนี้ไปไม่ ศาลอุทธรณ์พิพากษาชอบแล้ว”
พิพากษายืน

Share