คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16490/2557

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองครอบครองทรัพย์ของโจทก์ร่วม เช่น อาหาร เครื่องดื่ม สิ่งของที่ใช้ประกอบอาหาร สุรา บุหรี่ และของใช้ทั่วไป แล้วร่วมกันเอาทรัพย์ของโจทก์ร่วมไปขาย และเบียดบังยักยอกเงินค่าขายทรัพย์ดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสอง แต่กลับนำสืบว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันนำทรัพย์ของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารไปใช้ที่ร้านอาหารของจำเลยที่ 1 อันเป็นการยักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร ไม่ใช่ยักยอกเงินค่าขายทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ในสาระสำคัญ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองได้

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องและแก้ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91, 353, 353 และนับโทษจำเลยทั้งสองต่อจากโทษของจำเลยทั้งสองในคดีอาญาหมายเลขดำที่ 1053/3547 และคดีอาญาหมายเลขดำที่ 353/3548 ของศาลชั้นต้น และนับโทษจำเลยที่ 1 ต่อจากโทษของจำเลยในคดีอาญาหมายเลขแดงที่ 1316/3548 ของศาลจังหวัดพิษณุโลก กับให้จำเลยทั้งสองร่วมกันใช้เงิน 1,356,313.34 บาท แก่ผู้เสียหาย
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ แต่รับว่าเป็นบุคคลคนเดียวกับจำเลยในคดีที่โจทก์ขอให้นับโทษต่อ
ระหว่างพิจารณา บริษัทชัยวสิทธิ์ จำกัด ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 วรรคแรก, 353 จำเลยที่ 3 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 วรรคแรก การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบทซึ่งกฎหมายบัญญัติโทษไว้เท่ากัน จึงให้ลงโทษตามมาตรา 353 วรรคแรก การกระทำของจำเลยทั้งสองเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 รวม 1,344 กรรม จำคุกกระทงละ 2 วัน รวมจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 2,688 วัน ทางนำสืบของจำเลยทั้งสองให้ความรู้แก่ศาลเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้หนึ่งในสามตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 คงจำคุกจำเลยทั้งสองคนละ 1,792 วัน จำเลยทั้งสองไม่เคยรับโทษจำคุกมาก่อน เห็นควรให้เปลี่ยนโทษจำคุกเป็นกักขังคนละ 1,792 วัน แทน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 23 คดีนี้ศาลลงโทษกักขังจำเลยทั้งสอง จึงไม่อาจนับโทษต่อตามที่โจทก์ขอได้ ยกคำขออื่น
โจทก์ โจทก์ร่วมและจำเลยทั้งสองอุทธรณ์ โดยอธิบดีอัยการฝ่ายคดีศาลสูงเขต 6 ซึ่งอัยการสูงสุดได้มอบหมายรับรองให้โจทก์อุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์ และยกอุทธรณ์ของโจทก์ร่วม
โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงฟังได้เป็นยุติตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 6 ว่าโจทก์ร่วมเป็นนิติบุคคลประเภทบริษัทจำกัด ประกอบกิจการโรงแรมชื่อโรงแรมพิษณุโลกธานี ตั้งอยู่ที่อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก มีจำเลยที่ 1 นายพิชัยและนายวสันต์เป็นกรรมการ ขณะเกิดเหตุจำเลยที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการ ส่วนจำเลยที่ 3 เป็นผู้จัดการทั่วไป เมื่อระหว่างวันที่ 6 เมษายน 3543 ถึงวันที่ 30 กันยายน 3544 จำเลยทั้งสองซึ่งครอบครองทรัพย์สินของโจทก์ร่วม ได้เอาสินค้าประเภทอาหาร เครื่องดื่ม สิ่งของที่ใช้ประกอบอาหาร สุรา บุหรี่ และของใช้ทั่วไปซึ่งเป็นของโจทก์ร่วมออกไปจากโรงแรมนำไปใช้ที่ร้านอาหารของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ภายในคลับเฮาส์ของสนามกอล์ฟดงภูเกิดเพื่อเป็นวัตถุดิบทำอาหารขายแก่บุคคลทั่วไป
มีปัญหาต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมว่า ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษายกฟ้องโจทก์ เนื่องจากเห็นว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบ โจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้อง จึงไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองนั้นชอบหรือไม่ เห็นว่า คดีนี้ โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองซึ่งครอบครองทรัพย์สินของโจทก์ร่วม เช่น อาหาร เครื่องดื่ม สิ่งของที่ใช้ประกอบอาหาร สุรา บุหรี่ และของใช้ทั่วไปของโจทก์ร่วม ร่วมกันเอาทรัพย์สินดังกล่าวของโจทก์ร่วมรวมราคา 1,356,212.24 บาท ไปจำหน่ายขายที่คลับเฮาส์ของสนามกอล์ฟดงภูเกิด และจำเลยทั้งสองร่วมกันรับมอบเงินค่าขายทรัพย์สินดังกล่าวแล้วไม่ส่งมอบเงินแก่โจทก์ร่วม แต่กลับร่วมกันเบียดบังยักยอกเอาเงินจำนวนดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตัวของจำเลยทั้งสอง อันเป็นการฟ้องหาว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันยักยอกเงินค่าขายทรัพย์สิน แต่ข้อเท็จจริงที่โจทก์และโจทก์ร่วมนำสืบได้ความว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันนำทรัพย์สินของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารไปใช้ที่ร้านอาหารของจำเลยที่ 1 ซึ่งอยู่ภายในคลับเฮาส์ของสนามกอล์ฟดงภูเกิดมีมูลค่า 1,356,212.24 บาท อันเป็นการยักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหาร ไม่ใช่ยักยอกเงินค่าขายทรัพย์ตามที่โจทก์ฟ้อง ศาลจึงต้องห้ามมิให้พิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ซึ่งเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารเนื่องจากโจทก์ไม่ได้กล่าวในฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 วรรคแรก
ที่โจทก์และโจทก์ร่วมฎีกาว่า ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในทางพิจารณากับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้องไม่ได้แตกต่างกันในข้อสาระสำคัญ และจำเลยทั้งสองไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลจึงต้องลงโทษจำเลยทั้งสองตามข้อเท็จจริงที่ได้ความตามมาตรา 193 วรรคสอง นั้น เห็นว่า ความผิดฐานยักยอกปัญหาว่าทรัพย์ที่จำเลยยักยอกเป็นทรัพย์สิ่งใด ย่อมเป็นสาระสำคัญของความผิด เมื่อโจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันยักยอกเงินที่ได้จากการขายทรัพย์สิน แต่กลับนำสืบว่าจำเลยทั้งสองยักยอกทรัพย์สิน โดยไม่ปรากฏว่าจำเลยทั้งสองขายทรัพย์สินแล้วได้เงินมา ข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาจึงแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้อง ในสาระสำคัญ ศาลไม่อาจลงโทษจำเลยทั้งสองได้ คดีไม่จำต้องวินิจฉัย ฎีกาข้ออื่นของโจทก์และโจทก์ร่วมต่อไป ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 6 พิพากษามานั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์และโจทก์ร่วมฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน

Share