คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7236/2543

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์กับจำเลยทำสัญญาตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญเพื่อร่วมกันสร้างอาคารพาณิชย์ขายแบ่งผลกำไรกัน โดยโจทก์ลงหุ้นเป็นเงินค่าก่อสร้างจำเลยลงหุ้นเป็นที่ดิน ต่อมาจำเลยขายฝากที่ดินดังกล่าวแก่โจทก์ ระหว่างสัญญาจำเลยได้มีหนังสือบอกเลิกห้างหุ้นส่วนกับโจทก์ โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความแจ้งให้จำเลยไถ่ถอนการขายฝากที่ดินที่นำมาขายฝากไว้กับโจทก์และให้จำเลยชำระเงินค่าก่อสร้างอาคารพาณิชย์ที่โจทก์ได้ใช้ไปให้แก่โจทก์ อันเป็นการแสดงเจตนาสนองรับการบอกเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญของจำเลยแล้วโดยปริยาย สัญญาตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญจึงเลิกกัน โดยชอบ กรณีมิใช่การขอเลิกห้างหุ้นส่วนโดยบทบัญญัติของกฎหมายตาม ป.พ.พ. มาตรา 1056
เมื่อห้างหุ้นส่วนสามัญเลิกกันแล้ว ข้อตกลงตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยเป็นอันระงับไม่มีผลบังคับอีกต่อไป ทั้งได้มีการตกลงกันให้จำเลยชำระเงินที่ได้ใช้ไป อันเป็นการตกลงกันให้จัดการทรัพย์สินโดยวิธีอื่นภายหลัง เลิกห้างหุ้นส่วนในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน แสดงว่าคู่สัญญาไม่ได้ถือว่าที่ดินดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของ ห้างหุ้นส่วนสามัญอีกต่อไป โจทก์กับจำเลยจึงไม่อยู่ในฐานะเป็นเจ้าหนี้หรือลูกหนี้กันในที่ดินดังกล่าว อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิบังคับเอาแก่ที่ดินของจำเลยได้ จำเลยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินดังกล่าวจึงมีสิทธิโอนขายที่ดิน ดังกล่าวได้ การกระทำของจำเลยไม่เป็นการฉ้อฉลต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพิกถอนการโอนที่ดินดังกล่าว

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ศาลเพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินทั้งสามโฉนด ระหว่างจำเลยทั้งสอง
จำเลยทั้งสองให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ พิพากษากลับ ให้เพิกถอนการทำนิติกรรมการขายที่ดินตามโฉนดที่ดินเลขที่ ๖๐๕๕๘, ๖๐๕๕๙ และ ๖๐๕๖๐ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ระหว่างจำเลยที่ ๑ กับจำเลยที่ ๒
จำเลยทั้งสองฎีกา
ศาลฎีกาพิจารณาข้อเท็จจริงฟังได้ว่า เมื่อวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๓๖ โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำสัญญาตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียนมีวัตถุประสงค์สร้างอาคารพาณิชย์ขายแบ่งผลกำไรกันฝ่ายละครึ่ง โจทก์ลงหุ้นเป็นค่าก่อสร้าง จำเลยที่ ๑ ลงหุ้นเป็นที่ดินโฉนดเลขที่ ๖๐๕๕๘ ถึง ๖๐๕๖๐ ตำบลตลาดขวัญ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี วันที่ ๑๒ พฤษภาคม ๒๕๓๗ จำเลยที่ ๑ มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือบอกเลิกสัญญาห้างหุ้นส่วนสามัญกับโจทก์ ต่อมาจำเลยที่ ๑ ได้ขายที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ มีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยทั้งสองว่า สัญญาตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ระงับไปแล้วหรือไม่ เห็นว่าสัญญาตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญหรือสัญญาร่วมลงทุนที่โจทก์กับจำเลยที่ ๑ ทำขึ้นเพื่อร่วมกันสร้างอาคารพาณิชย์ขายแบ่งผลกำไรกันเป็นสัญญาตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ ระหว่างสัญญา จำเลยที่ ๑ ได้มีหนังสือบอกเลิกห้างหุ้นส่วนกับโจทก์ หลังจากได้รับหนังสือ ดังกล่าวแล้ว โจทก์ได้มอบอำนาจให้ทนายความมีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ ๑ ไถ่ถอนการขายฝากที่ดินทั้งสามแปลงที่นำมาขายฝากไว้กับโจทก์ และให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินค่าก่อสร้างอาคารพาณิชย์ที่โจทก์ได้ใช้ไปจำนวน ๑,๑๕๖,๐๐๐ บาท ให้แก่โจทก์อันเป็นการแสดงเจตนาสนองรับการบอกเลิกห้างหุ้นส่วนสามัญของจำเลยที่ ๑ แล้วโดยปริยาย สัญญาตั้งห้างหุ้นส่วนสามัญระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงเป็นอันเลิกกันโดยเจตนาของคู่สัญญามีผลให้ห้างหุ้นส่วนสามัญเลิกกันโดยชอบ กรณีมิใช่การบอกเลิกห้างหุ้นส่วนโดยบทบัญญัติของกฎหมาย ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา ๑๐๕๖ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๒ วินิจฉัย เมื่อห้างหุ้นส่วนสามัญเลิกกันแล้ว ข้อตกลงตามสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ ๑ เป็นอันระงับไม่มีผลบังคับอีกต่อไป อีกทั้งการตกลงกันให้จำเลยที่ ๑ ชำระเงินจำนวน ๑,๑๕๖,๐๐๐ บาท ที่โจทก์ได้ใช้ไป อันเป็นการตกลงกันให้จัดการทรัพย์สินโดยวิธอื่นภายหลังเลิกห้างหุ้นส่วนในระหว่างผู้เป็นหุ้นส่วนด้วยกัน แสดงว่าคู่สัญญาไม่ได้ถือว่าที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวเป็นทรัพย์สินของห้างหุ้นส่วนสามัญอีกต่อไป โจทก์กับจำเลยที่ ๑ จึงไม่อยู่ในฐานะเจ้าหนี้หรือลูกหนี้กันในที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว อันจะทำให้โจทก์มีสิทธิบังคับเอาแก่ ที่ดินทั้งสามแปลงของจำเลยที่ ๑ ได้ จำเลยที่ ๑ ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าว จึงมีสิทธิโอนขายที่ดินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ ๒ ได้ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่เป็นการฉ้อฉลต่อโจทก์ โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง เพิกถอนที่การโอนที่ดินทั้งสามแปลงดังกล่าวของจำเลยทั้งสอง
พิพากษากลับ ให้บังคับคดีไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

Share