คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7195/2539

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่่มีอำนาจฟ้องปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้จะมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์จำเลยก็มีสิทธิยกขึ้นฎีกาได้ คดีนี้เป็นคดีละเมิดมิใช่คดีครอบครัวที่ฟ้องหรือร้องขอต่อศาลหรือกระทำการใดๆในทางศาลเกี่ยวกับผู้เยาว์หรือครอบครัวซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา11(3)แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัวพ.ศ.2534ดังนั้นเมื่อมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของโจทก์ที่2ถึงที่7ซึ่งเป็นผู้เยาว์ในคดีนี้ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจแก้ไขข้อบกพร่องโดยตั้งโจทก์ที่1เป็นผู้แทนเฉพาะคดีให้แก่โจทก์ที่2ถึงที่7ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา56วรรคสุดท้าย โดยโจทก์ที่1ไม่จำต้องขออำนาจในการดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ที่2ถึงที่7จากศาลเยาวชนและครอบครัว คดีนี้โจทก์ทั้งแปดต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิดแม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกันเมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่2ที่3และที่4ร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาทซึ่งถือเป็นทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกาจึงต้องห้ามมิให้จำเลยที่2ที่3และที่4ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา248วรรคหนึ่ง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า โจทก์ที่ 1 ดำเนินคดีในฐานะส่วนตัว และบิดาซึ่งเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมและขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 ผู้เยาว์อันเกิดกับนางสุวรรณี สุทธิพิสิทธิ์ช้ย ผู้ตายโจทก์ที่ 8 เป็นมารดาของผู้ตายวันที่ 31 มีนาคม 2534 เวลาประมาณ13.30 นาฬิกา จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ 2ที่ 3 และที่ 4 ขับรถสามล้อเครื่องรับจ้างหมายเลขทะเบียน 1 ส-6421กรุงเทพมหานคร ซึ่งจำเลยที่ 2 และที่ 3 เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองและนำเข้าร่วมกิจการรับส่งคนโดยสารกับจำเลยที่ 4 ไปในกิจการค้าอันเป็นธุรกิจปกติของจำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ส่วนจำเลยที่ 5เป็นผู้รับประกันภัยรถสามล้อเครื่องคันดังกล่าว จำเลยที่ 1ขับรถสามล้อเครื่่องคันดังกล่าวด้วยความประมาทปราศจากความระมัดระวังได้เปลี่ยนช่องเดินรถอย่างกะทันหันล้ำเข้าไปในช่องเดินรถด้านที่ขับสวนทางมาเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถจักรยานยนต์หมายเลขทะเบียน กรุงเทพมหานคร 1ท-2295 ที่โจทก์ที่ 1 เป็นผู้ขับและผู้ตายนั่งซ้อนท้าย เป็นเหตุให้โจทก์ที่ 1 และผู้ตายได้รับอันตรายสาหัส และผู้ตายถึงแก่ความตายในเวลาต่อมา โจทก์ทั้งแปดได้รับความเสียหาย รวมเป็นค่าเสียหายทั้งสิ้น 1,465,670 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งห้าร่วมกันหรือแทนกันชำระเงินจำนวน 1,465,670 บาทพร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี จากต้นเงิน 1,364,719 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้นแก่โจทก์ทั้งแปด
จำเลยที่ 1 ขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณา
จำเลยที่ 2 และที่ 3 ให้การว่า จำเลยที่ 2 ได้นำรถสามล้อเครื่องหมายเลขทะเบียน 1 ส-6421 กรุงเทพมหานคร เข้าร่วมกิจการของจำเลยที่ 4 และโอนเป็นของจำเลยที่ 4 ชั่วคราว แต่มิได้ดำเนินกิจการค้าร่วมกับจำเลยที่ 4 จำเลยที่ 3 มิได้เป็นเจ้าของและผู้ครอบครองรถสามล้อเครื่องคันดังกล่าว จำเลยที่ 1 มิใช่ลูกจ้างและตัวแทนของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และมิได้ขับรถสามล้อเครื่องคันดังกล่าวไปในกิจการค้าอันเป็นธุรกิจปกติของจำเลยที่ 2 และที่ 3ค่าเสียหายตามฟ้องสูงเกินความเป็นจริง โจทก์ที่ 1 ไม่ใช่บิดาผู้แทนโดยชอบธรรม และไม่มีอำนาจขอเป็นผู้แทนเฉพาะคดีของโจทก์ที่ 2ถึงที่ 7 ขอให้ยกฟ้อง
จำเลยที่ 4 และที่ 5 ให้การว่า จำเลยที่ 4 มิใช่นายจ้างของจำเลยที่ 1 และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรือมีส่วนได้เสียในรถสามล้อเครื่อง หมายเลขทะเบียน 1 ส-6421 กรุงเทพมหานคร รถสามล้อเครื่องคันดังกล่าว มิได้ร่วมในกิจการของจำเลยที่ 4 เหตุคดีนี้เกิดจากความประมาทของโจทก์ที่ 1 ค่าเสียหายสูงเกินความจริง จำเลยที่ 5 จะต้องรับผิดเมื่อผู้เอาประกันภัยจะต้องรับผิดตามกฎหมาย และไม่เกินจำนวนที่จำกัดความรับผิดไว้ในสัญญาประกันภัย ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาในจำเลยที่ 1 และที่ 4 ร่วมกันชำระเงินจำนวน466,212.65 บาท พร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีนับแต่วันที่ 31 มีนาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งแปด ส่วนจำเลยที่ 5 ให้รับผิดในต้นเงิน 66,212.65 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5 ตอปี นับแต่วันที่31 มีนาคม 2534 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ทั้งแปด
โจทก์ทั้งแปด จำเลยที่ 4 และที่ 5 อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยที่ 2 และที่ 3ร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ด้วย โดยให้จำเลยที่ 5ร่วมรับผิดในต้นเงิน 125,000 บาท นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 ฎีกาประการแรกว่าโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ไม่มีอำนาจฟ้อง ปัญหานี้เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน แม้จะมิได้ยกขึ้นว่่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์จำเลยที่ 2 และที่ 3 ก็มีสิทธิยกขึ้นฎีกาได้ เห็นว่า คดีนี้เป็นคดีละเมิดมิใช่คดีครอบครัวที่ฟ้องหรือร้องขอต่อศาล หรือกระทำการใด ๆ ในทางศาลเกี่ยวกับผู้เยาว์หรือครอบครัวซึ่งจะต้องบังคับตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 11(3) แห่งพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลเยาวชนและครอบครัวและวิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว พ.ศ. 2534 ดังนั้น เมื่อมีข้อบกพร่องเกี่ยวกับเรื่องความสามารถของโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ซึ่งเป็นผู้เยาว์ในคดีนี้ศาลชั้นต้นจึงมีอำนายแก้ไขข้อบกพร่องโดยตั้งโจทก์ที่ 1 เป็นผู้แทนเฉพาะคดีให้แก่โจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 ได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 วรรคสุดท้าย โดยโจทก์ที่ 1 ไม่จำต้องขออำนาจในการดำเนินคดีนี้แทนโจทก์ที่ 2 ถึงที่ 7 จากศาลเยาวชนและครอบครัวกลาง
ส่วนที่จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกาว่า การที่รถชนกันเกิดจากความประมาทเลินเล่อของโจทก์ที่ 1 จำเลยที่ 2 และที่ 3ไม่ต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์ทั้งแปด เพราะจำเลยที่ 2 เป็นเพียงผู้ให้เช่ารถสามล้อเครื่องและจำเลยที่ 3 ไม่ใช่เจ้าของรถสามล้อเครื่องไม่ใช่นายจ้างหรือตัวการของจำเลยที่ 1 และไม่ได้รับผลประโยชน์ใด ๆจากรถสามล้อเครื่อง ค่าเสียหายที่ศาลอุทธรณ์กำหนดให้สูงเกินไป ซึ่งเป็นฎีกาในข้อเท็จจริงนั้น เห็นว่า คดีนี้โจทก์ทั้งแปดต่างใช้สิทธิเฉพาะตัวของโจทก์แต่ละคนฟ้องให้จำเลยทั้งห้าร่วมกันใช้ค่าเสียหายอันเกิดจากการกระทำละเมิด แม้จะฟ้องรวมกันมาก็ต้องถือทุนทรัพย์ของโจทก์แต่ละคนแยกกัน เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยที่ 2 ที่ 3และที่ 4 ร่วมกันรับผิดใช้ค่าเสียหายพร้อมดอกเบี้ยนับถึงวันฟ้องให้แก่โจทก์แต่ละคนไม่เกินสองแสนบาท ซึ่งถือทุนทรัพย์ที่พิพาทในชั้นฎีกา จึงต้องห้ามมิให้จำเลยที่ 2 ที่ 3 และที่ 4 ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคหนึ่งที่ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาข้อนี้ของจำเลยที่ 2 และที่ 3 และสั่งรับฎีกาของจำเลยที่ 4 มานั้นจึงไม่ชอบ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
พิพากษายืน และให้ยกฎีกาจำเลยที่ 4

Share