แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
จำเลยนำของเข้ามาในราชอาณาจักรสองครั้ง และได้แสดงความประสงค์ขอคืนภาษีอากรตามมาตรา 19 ทวิ แห่ง พ.ร.บ. ศุลกากร (ฉบับที่ 9) พ.ศ. 2482 แต่ปรากฏว่าจำเลยมิได้นำของที่นำเข้ามา ใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปภายใน 1 ปี นับแต่วันนำเข้า อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 19 ทวิ แห่ง พ.ร.บ. ดังกล่าว เมื่อโจทก์ที่ 1 ตรวจพบจึงได้ประเมินราคาสินค้าและแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบ ถึงแม้ว่าโจทก์ทั้งสองจะใช้เวลาตรวจสอบเนิ่นนานไป ในกรณีนี้ก็ยังไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริต จำเลยจึงมีหน้าที่ต้องเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้
ย่อยาว
โจทก์ทั้งสองฟ้องขอให้บังคับจำเลยชำระเงิน ๑๘๘,๕๘๓.๑๕ บาท และเงินเพิ่มอัตราร้อยละ ๑ ต่อเดือน หรือเศษของเดือนของต้นเงินอากรขาเข้าค้างชำระนับแต่วันฟ้องจนกว่าจะเสร็จแก่โจทก์ทั้งสอง
จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ
ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาแล้วพิพากษายกฟ้อง ค่าฤชาธรรมเนียมให้เป็นพับ
โจทก์ทั้งสองอุทธรณ์ต่อศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรพิจารณาแล้ว มีปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยตามอุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้อแรกว่า พฤติการณ์ตามคำฟ้องของโจทก์ทั้งสองประกอบกับเอกสารที่โจทก์ทั้งสองส่งศาลเป็นกรณีที่ถือได้ว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตตามที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยหรือไม่ ข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องของโจทก์ทั้งสองว่า จำเลยนำของเข้ามาในราชอาณาจักรสองครั้งตามใบขนสินค้าเลขที่ ๑๐๔๓๑๐๙๓ และเลขที่ ๐๑๐๒๐๐๕๖๐๐๙๙ และแสดงความประสงค์จะขอคืนภาษีอากรตามมาตรา ๑๙ ทวิ แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ โดยใช้วิธีค้ำประกันค่าภาษีอากรตามมาตรา ๑๙ ตรี แห่งพระราชบัญญัติศุลกากร (ฉบับที่ ๙) พ.ศ. ๒๔๘๒ แต่ปรากฏว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๙ ทวิ กล่าวคือจำเลยมิได้นำของที่นำเข้ามาใช้ในการผลิตสินค้าเพื่อส่งออกไปภายใน ๑ ปี นับแต่วันนำเข้า เป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๑๙ ทวิ ต่อมาโจทก์ที่ ๑ ตรวจพบจึงได้ประเมินราคาสินค้าและแจ้งการประเมินให้จำเลยทราบแล้ว เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๙ และ พ.ศ. ๒๕๔๐ ตามลำดับ แต่จำเลยมิได้เสียภาษีตามที่โจทก์ที่ ๑ ประเมิน เห็นว่า การเสียภาษีของจำเลยดังกล่าวเป็นการเสียภาษีตามที่กฎหมายบัญญัติไว้และจำเลยมีหน้าที่ที่จะต้องเป็นผู้ประเมินภาษีด้วยตนเอง ตามวิธีการและตามเวลาที่กำหนดไว้ในกฎหมายแล้วยื่นแบบแสดงรายการชำระภาษีอากรตามจำนวนที่พึงต้องชำระ หากจำเลยประเมินไม่ถูกต้อง เจ้าพนักงานของโจทก์ทั้งสองตรวจพบก็จะทำการประเมินใหม่และมีอำนาจประเมินให้จำเลยซึ่งเป็นผู้เสียภาษีต้องรับผิดชำระเงินเพิ่ม นอกเหนือจากภาษีอากรตามที่บัญญัติไว้ในกฎหมายได้ด้วย ดังนั้นการเสียภาษีจึงมิได้เกิดจากข้อสัญญาระหว่างโจทก์ทั้งสองกับจำเลย โจทก์ทั้งสองเป็นเพียงผู้ตรวจสอบการเสียภาษีของจำเลยเท่านั้น ถึงแม้ว่าโจทก์ทั้งสองจะใช้เวลาตรวจสอบเนิ่นนานไป ในกรณีนี้ก็ยังไม่มีพฤติการณ์ที่แสดงให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตก็ตาม และเมื่อกรณีไม่ปรากฏว่ามีพฤติการณ์อื่นใดที่จะแสดงให้เห็นว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริต การกระทำของโจทก์ทั้งสองหาใช่เป็นการใช้สิทธิโดยไม่สุจริตไม่ เพราะจำเลยมีหน้าที่จะต้องเสียภาษีให้ถูกต้องตามที่กฎหมายบัญญัติไว้และเมื่อเสียภาษีไม่ถูกต้องก็จะต้องชำระเงินเพิ่มตามกฎหมายอีกด้วย ที่ศาลภาษีอากรกลางวินิจฉัยว่าโจทก์ทั้งสองใช้สิทธิโดยไม่สุจริตนั้น ศาลฎีกาแผนกคดีภาษีอากรไม่เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์ของโจทก์ทั้งสองในข้อนี้ฟังขึ้น สำหรับปัญหาที่จะต้องวินิจฉัยต่อไปว่า โจทก์ทั้งสองมีสิทธิจะได้รับชำระหนี้ค่าภาษีอากรที่ค้างหรือไม่ และเป็นจำนวนเท่าใดนั้น เห็นว่า แม้คดีนี้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การและโจทก์ทั้งสองได้ส่งเอกสารให้แก่ศาลแล้วก็ตาม แต่ศาลภาษีอากรกลางยังมิได้พิจารณาและวินิจฉัยในประเด็นข้อนี้ เพื่อให้การพิจารณาพิพากษาเป็นไปตามลำดับชั้นศาลจึงเห็นสมควรให้ศาลภาษีอากรกลางพิจารณาในปัญหานี้ แล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี
พิพากษายกคำพิพากษาศาลภาษีอากรกลาง ให้ศาลภาษีอากรกลางดำเนินกระบวนพิจารณาคดีตั้งแต่จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การแล้วพิพากษาใหม่ตามรูปคดี ค่าฤชาธรรมเนียมในชั้นอุทธรณ์ให้ศาลภาษีอากรกลางรวมสั่งเมื่อมีคำสั่งหรือคำพิพากษาใหม่.