แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา
ย่อสั้น
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนและใช้ค่าขาดประโยชน์ ค่าเช่าซื้อค้างชำระกับดอกเบี้ย แต่คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องโดยอ้างเหตุจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเช่นเดียวกับคดีก่อน แต่ตามคำฟ้องได้บรรยายว่าภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้ว จำเลยทั้งสองไม่คืนรถยนต์แก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ตามยึดรถยนต์คืนมาได้ในสภาพชำรุดทรุดโทรมผิดปกติจากการใช้อย่างไม่ระมัดระวัง โจทก์นำรถยนต์ออกประมูลขายได้เงินต่ำกว่าราคารถยนต์ที่ศาลพิพากษากำหนดให้อยู่ 192,000 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ยดังนี้ความเสียหายของโจทก์ตามคำฟ้องคดีนี้เกิดขึ้นหลังจากศาลมีคำพิพากษาคดีก่อนแล้ว คำขอให้บังคับทั้งสองคดีต่างกันและมิใช่ประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2538 จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ค่าเช่าซื้อ 1,525,233.60 บาท สัญญาจะชำระค่าเช่าซื้อเดือนละ 31,775.70 บาท ภาษีมูลค่าเพิ่มเดือนละ 2,224.30 บาท มีข้อสัญญาว่าหากไม่ชำระค่าเช่าซื้องวดใดงวดหนึ่งโจทก์มีสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ จำเลยที่ 1ต้องส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนในสภาพเรียบร้อยใช้การได้ดี เมื่อโจทก์เข้าครอบครองรถยนต์ที่เช่าซื้อ โจทก์มีสิทธิจำหน่ายได้ หากได้เงินไม่คุ้มค่าเช่าซื้อที่ยังไม่ได้รับชำระรวมทั้งค่าใช้จ่ายในการติดตามค่าซ่อมรถยนต์ที่เช่าซื้อจำเลยที่ 1ต้องชำระ จำเลยที่ 1 ต้องรับผิดในค่าใช้ทรัพย์ ค่าเสื่อมราคา ค่าขาดประโยชน์และต้องเสียดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 21 ต่อปี นับแต่วันสัญญาเช่าซื้อสิ้นสุดถึงวันชำระเสร็จ ในการเช่าซื้อจำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันโดยยอมรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมกับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ชำระค่าเช่าซื้อ 19 งวด แล้วผิดสัญญาไม่ชำระอีก โจทก์บอกเลิกสัญญา ฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาลแพ่งกรุงเทพใต้ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนและชำระค่าเสียหายศาลแพ่งกรุงเทพใต้พิพากษาให้จำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หากคืนไม่ได้ให้ใช้ราคา 700,000 บาท วันที่ 17 กันยายน 2542 โจทก์ยึดรถยนต์คืนมาได้ สภาพรถยนต์เสียหายทรุดโทรมเพราะจำเลยที่ 1 ใช้รถยนต์ของโจทก์โดยไม่บำรุงรักษาอย่างเช่นวิญญูชน ใช้อย่างไม่ระมัดระวังจึงทรุดโทรมผิดธรรมดา โจทก์ประมูลขายแก่บุคคลภายนอกได้เงินเพียง508,000 บาท ต่ำกว่าราคารถยนต์ที่ศาลแพ่งกรุงเทพใต้กำหนด 192,000บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันหรือแทนกันชำระเงิน 192,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
ในชั้นตรวจรับคำฟ้อง ศาลชั้นต้นเห็นว่า คำฟ้องของโจทก์เป็นฟ้องซ้ำกับคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 14611/2541 ของศาลแพ่งกรุงเทพใต้ จึงพิพากษายกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์เฉพาะปัญหาข้อกฎหมายโดยตรงต่อศาลฎีกา โดยได้รับอนุญาตจากศาลชั้นต้นตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 223 ทวิ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “เห็นว่า ในคดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองส่งมอบรถยนต์ที่เช่าซื้อคืนโจทก์หรือใช้ราคาแทนและใช้ค่าเสียหายคือค่าขาดประโยชน์ ค่าเช่าซื้อค้างชำระ ดอกเบี้ยแต่คดีนี้แม้โจทก์จะฟ้องโดยอ้างเหตุจำเลยทั้งสองผิดสัญญาเช่าซื้อและสัญญาค้ำประกันเช่นเดียวกับคดีก่อนแต่ตามคำฟ้องได้บรรยายว่าภายหลังจากศาลมีคำพิพากษาในคดีก่อนแล้วจำเลยทั้งสองไม่คืนรถยนต์แก่โจทก์ตามคำพิพากษา โจทก์ตามยึดรถยนต์คืนมาได้ในสภาพชำรุดทรุดโทรมผิดปกติจากการใช้อย่างไม่ระมัดระวัง โจทก์นำรถยนต์ออกประมูลขายได้เงินเพียง 508,000 บาท ต่ำกว่าราคารถยนต์ที่ศาลพิพากษากำหนดให้ 700,000 บาท อยู่ 192,000 บาท จึงขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงินจำนวนดังกล่าวพร้อมดอกเบี้ย ดังนี้ความเสียหายของโจทก์ตามคำฟ้องคดีนี้เกิดขึ้น หลังจากศาลมีคำพิพากษาคดีก่อนแล้วคำขอให้บังคับตามคำฟ้องคดีนี้กับคำขอให้บังคับตามคำฟ้องคดีก่อนต่างกันและมิใช่ประเด็นที่ศาลในคดีก่อนได้วินิจฉัยแล้วโดยอาศัยเหตุอย่างเดียวกัน คำฟ้องของโจทก์ในคดีนี้จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำกับคดีก่อน อุทธรณ์ของโจทก์ฟังขึ้น”
พิพากษากลับ ให้ศาลชั้นต้นรับฟ้องของโจทก์ไว้พิจารณา