แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
อย่างไรไม่เรียกว่าเป็นผิดสัญญาในทางแพ่ง
ย่อยาว
คดีนี้โจทก์ฟ้องว่าเดิมจำเลยที่ ๑ บอกขายรถยนตร์ให้โจทก์ ๑ คันราคา ๒๖๐ บาท โจทก์ตกลงซื้อแลชำระราคาให้จำเลยที่ ๑ไปแล้ว จำเลยที่ ๑ได้มอบทะเบียนรถให้โจทก์ไว้แลสัญญาว่าจะนำรถมาโอนให้โจทก์ภายใน ๒ เดือน แล้วต่อมาจำเลยทั้ง ๒ ได้ใช้อุบายหลอกลวงโจทก์โดยเอาความเท็จมากล่าวว่า จำเลยต้องการทะเบียนรถคืนเพื่อไปให้เจ้าพนักงานตรวจแลเสียภาษีให้ โจทก์ ๆหลงเชื่อจึงมอบทะเบียนรถให้จำเลยไป แล้วจำเลยก็หายสาบศูนย์ไป ต่อมาโจทก์พบจำเลยจึงทวงทะเบียนรถคืนแลให้โอนทะเบียนให้จำเลยปฏิเสธว่ารถไม่มีแลเงินก็ไม่คืนให้ โจทก์รู้สึกว่าเป็นอุบายทุจจริตคิดฉ้อโกง โจทก์จึงฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา ๓๐๔
ศาลเดิมงดสืบพะยานบุคคลแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยมีใบทะเบียนรถมาแสดงต่อศาลโดยไม่ปรากฎว่าเอาใบทะเบียนนั้นไปโอนให้แก่คนอื่น เห็นว่ารูปคดีเป็นความแพ่ง ให้ยกฟ้อง
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
ศาลฎีกาเห็นว่าข้อความในฟ้องที่โจทก์กล่าวนั้น เป็นคำบรรยายครบองค์แห่งความผิดฐานฉ้อโกงแล้ว ส่วนข้อที่โจทก์บรรยายในฟ้องว่าจำเลยมิได้ทำการดั่งที่จำเลยกล่าวต่อโจทก์เป็นเพียงข้อความประกอบฟ้องเพื่อสนับสนุนให้เห็นชัดในข้อที่จำเลยตั้งใจทำการหลอกลวงโจทก์แลข้อที่จำเลยไม่ได้โอนทะเบียนรถให้แก่ผู้อื่นไปไม่เป็นข้อแสดงว่าจำเลยไม่ได้ตั้งใจฉ้อโกงการที่จะรู้ว่าจำเลยตั้งใจจะฉ้อโกงใบทะเบียนรถหรือไม่นั้นต้องฟังคำพะยานหลักฐานที่คู่ความจะนำมาสืบประกอบกันเห็นว่าฟ้องโจทก์เป็นความอาชญา มิใช้เป็นเพียงผิดสัญญาในทางแพ่ง จึงพิพากษาให้ศาลเดิมดำเนิรคดีต่อไปใหม่ตามกระบวนความ