แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
แม้ที่พิพาทจะเป็นที่งอกของที่ดินที่มีโฉนดอันจำต้องตกเป็นสิทธิของจำเลยตามกฎหมายในเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินที่มีโฉนดนั้นให้แก่จำเลยก็จริง แต่ถ้าที่พิพาทที่เป็นที่งอกนั้น ได้แบ่งแยกออกเป็นส่วนสัดจนได้รังวัดเพื่อออกโฉนดและได้รับเลขที่ดินต่างหากแล้วก่อนมีการโอนที่มีโฉนดเดิมให้แก่จำเลยแต่ผู้เดียว และทั้งโจทก์จำเลยก็เคยครอบครองร่วมกันมาก่อนและยังใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกันต่อมาภายหลังโอนที่มีโฉนดเช่นนี้ ต้องถือว่า โจทก์จำเลยมีสิทธิครอบครองร่วมกันในที่พิพาท
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองที่ดินสวนจากร่วมกัน 1 แปลง ยังไม่มีโฉนด แต่ได้ขอรังวัดแล้ว หมายเลขที่ 404 ต่อมาวันที่ 1 มีนาคม 2500 จำเลยพาบริวารเข้าตัดจากในที่แปลงนี้โดยไม่มีอำนาจและไม่ได้รับอนุญาตจากโจทก์ขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินหมายเลขที่ 404 เป็นของโจทก์มีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองกึ่งหนึ่ง กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย
จำเลยให้การว่า ที่พิพาทเป็นที่งอกริมตลิ่งจากโฉนดที่ 5864 ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ ที่งอกดังกล่าวย่อมเป็นของจำเลยแต่ผู้เดียว
ในวันชี้สองสถาน จำเลยรับว่า ที่พิพาทเป็นที่ดินที่โจทก์จำเลยได้ร่วมกันประมูลได้พร้อมกับที่ดินโฉนดที่ 5864 ในการประมูลระหว่างคู่ความในอีกคดีหนึ่ง
ศาลชั้นต้นฟังว่า โจทก์ได้ถอนชื่อโจทก์ในหน้าโฉนดเลขที่ 5864 ซึ่งโจทก์จำเลยมีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ร่วมกัน โอนให้เฉพาะส่วนของโจทก์ให้จำเลยเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์แต่ผู้เดียว ส่วนที่พิพาทโจทก์ยังเป็นผู้ครอบครองตลอดมา ได้จัดให้คนเช่าและแบ่งค่าเช่าให้จำเลยทุกปี ที่พิพาทจึงเป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน พิพากษาว่าที่ดินหมายเลข 404 เป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน โจทก์มีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองกึ่งหนึ่ง กับให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย 2,100 บาท (ซึ่งเป็นจำนวนครึ่งหนึ่งของค่าเสียหายทั้งสิ้นเต็มเนื้อที่พิพาท 4,200 บาท)
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน เว้นแต่ข้อที่ศาลชั้นต้นว่า โจทก์จำเลยมีกรรมสิทธิ์และสิทธิครอบครองร่วมกันในที่พิพาทนั้น เป็นแต่มีสิทธิครอบครองร่วมกัน
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาฟังว่า ได้มีการแบ่งแยกที่งอก คือ ที่พิพาทออกเป็นส่วนสัดต่างหากจากที่ดินโฉนดที่ 5864 ซึ่งอยู่ติดกับที่พิพาทและได้มีการขอรังวัดเพื่อออกโฉนดจนได้รับเลขที่ดินต่างหากแล้วต่างฝ่ายต่างก็ใช้สิทธิครอบครองที่พิพาทร่วมกันตลอดมา แม้เมื่อโจทก์จะได้โอนกรรมสิทธิ์ส่วนของตนในที่ดินโฉนดที่ 5864 ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยแล้ว ก็ปรากฏว่าโจทก์ยังสงวนสิทธิครอบครองในที่งอกอันเป็นที่พิพาทร่วมกับจำเลยอยู่ตามเดิม ดังนั้น แม้ที่พิพาทจะเป็นที่งอกของที่ดินโฉนดที่ 5864 อันจำต้องตกเป็นสิทธิของจำเลยตามกฎหมายเมื่อมีการโอนกรรมสิทธิ์ในที่ดินโฉนดดังกล่าวนี้ก็จริง แต่เมื่อที่พิพาทได้แบ่งแยกออกเป็นส่วนสัดแล้วก่อนมีการโอนและทั้งโจทก์จำเลยยังใช้สิทธิครอบครองรวมกันต่อมาภายหลังโอนเช่นนี้ ก็ต้องถือว่า โจทก์จำเลยมีสิทธิครอบครองร่วมกันในที่พิพาท
ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลอุทธรณ์