แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ในการทำงานโจทก์กับจำเลยมีข้อตกลงต่อการรักษาความลับและพันธกรณีอื่น ๆ โดยโจทก์ยินยอมที่ป้องกันรักษาความลับของข้อมูลและสารสนเทศของจำเลย อันแสดงให้เห็นว่า จำเลย ให้ความสำคัญต่อการป้องกันและเก็บรักษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจการของจำเลย การที่โจทก์นำข้อมูลเอกสารหมาย ล.5 ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับกิจการและการบริหารจัดการองค์กรของจำเลยเพื่อรับรองมาตรฐานการฝึกอบรมและการประเมินของจำเลยส่งเข้าจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวของโจทก์ ทำให้ง่ายต่อการส่งข้อมูลดังกล่าวต่อไป หรือนำข้อมูลออกไปโดยจำเลยไม่อาจติดตามได้ การกระทำของโจทก์ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไม่สุจริตและเป็นการนำความลับของจำเลยไปเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหาย และถือเป็นการกระทำผิดวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 33.4 และ 33.5 เป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตาม พ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (2) (4) ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตาม ป.พ.พ. มาตรา 583 และไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตาม พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องและแก้ไขคำฟ้องขอให้บังคับจำเลยจ่ายค่าชดเชย 1,013,200 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี สินจ้างแทนการบอกกล่าวล่วงหน้า 101,320 บาท เงินบำเหน็จ 607,692 บาท และค่าเสียหายจากการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม 3,000,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยให้การขอให้ยกฟ้อง
ศาลแรงงานภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงและวินิจฉัยว่า วันที่ 1 กันยายน 2545 จำเลยจ้างโจทก์เข้าทำงานเป็นลูกจ้าง ตำแหน่งสุดท้ายเป็นครูฝึกบุคลากร ได้รับค่าจ้างอัตราสุดท้ายเดือนละ 101,320 บาท กำหนดจ่ายค่าจ้างทุกวันสิ้นเดือน กำหนดเกษียณอายุของโจทก์ในวันที่ 30 มิถุนายน 2559 จำเลยมีศูนย์เศรษฐพัฒน์ไว้สำหรับฝึกอบรมลูกจ้างของจำเลยหรือบริษัทอื่นที่จะมาทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งกับจำเลย มุ่งหมายเพื่อฝึกอบรมบุคลากรให้ทำงานบนแท่นขุดเจาะน้ำมันนอกชายฝั่งได้อย่างปลอดภัยโดยไม่แสวงหากำไรในทางเศรษฐกิจ ตั้งอยู่ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย จังหวัดสงขลา ห่างไกลจากศูนย์ฝึกอบรมพัทยา จังหวัดชลบุรี ที่โจทก์เป็นผู้ถือหุ้นและเป็นกรรมการอยู่ซึ่งจดทะเบียนจัดตั้งเมื่อวันที่ 14 มกราคม 2558 ประกอบกิจการฝึกอบรมบุคลากรด้านความปลอดภัยในการทำงานในทะเลที่ผู้เข้ารับการอบรมเป็นบุคคลภายนอกที่ไม่ใช่ลูกจ้างของจำเลยหรือลูกจ้างของบริษัทที่จะมาทำงานกับจำเลย จึงเป็นบุคคลคนละกลุ่มกันไม่มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน ยากที่จะมีผลกระทบต่อกัน การเปิดฝึกอบรมบุคลากรของศูนย์ฝึกอบรมพัทยาของโจทก์ไม่ขัดกับผลประโยชน์ของจำเลยหรือมีผลกระทบทำให้กิจการของจำเลยเสียประโยชน์หรือเกิดความเสียหาย ไม่เป็นการประกอบกิจการในลักษณะแข่งขันทางธุรกิจกับจำเลย และไม่ปรากฏว่าโจทก์ใช้เวลาระหว่างทำงาน ละทิ้งหน้าที่ หรือใช้อุปกรณ์ของจำเลยไปทำงานให้แก่ศูนย์ฝึกอบรมพัทยาของโจทก์ จึงไม่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และไม่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย รายงานการตรวจสอบเอกสารหมาย ล.5 เป็นเอกสารที่มีข้อความเป็นภาษาอังกฤษแต่จำเลยไม่ทำคำแปลยื่นต่อศาล ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 46 วรรคสาม ไม่อาจรับฟังได้ว่าข้อความในเอกสารดังกล่าวเป็นความลับหรือไม่ จึงฟังได้ตามคำเบิกความโจทก์ว่าเป็นเพียงการประเมินผลตรวจสอบบำรุงรักษาเครื่องมือและอุปกรณ์การฝึก และการบริหารจัดการตามหลักสูตรอบรมของสถาบันฝึกอบรมปิโตรเลียมนอกชายฝั่ง (OPITO) ซึ่งเป็นเรื่องปกติทั่วไปของการฝึกอบรมบุคลากร ไม่ถือเป็นความลับทางธุรกิจหรือทางการค้าของจำเลยเป็นพิเศษ แม้เปิดเผยออกมาก็ไม่ทำให้จำเลยเสียหายแต่อย่างใด การที่โจทก์นำข้อมูลในเอกสารดังกล่าวส่งเข้าจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวของโจทก์เพื่อใช้ประโยชน์ในการทำงาน โดยไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ส่งข้อมูลต่อไปให้บุคคลอื่น โจทก์จึงไม่ได้นำความลับของจำเลยไปเปิดเผยทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย การกระทำของโจทก์จึงไม่ทำให้จำเลยได้รับความเสียหาย และไม่เป็นการฝ่าฝืนระเบียบข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานของจำเลย วันที่ 27 มิถุนายน 2559 จำเลยแต่งตั้งกรรมการสอบสวนโจทก์ตามที่ได้รับการร้องเรียนในบัตรสนเทห์ซึ่งไม่ปรากฏชื่อผู้ร้องเรียน วันที่ 29 มิถุนายน 2559 จำเลยเลิกจ้างโจทก์ก่อนครบกำหนดเกษียณอายุเพียง 1 วัน พฤติการณ์ของจำเลยทั้งการตั้งข้อกล่าวหาและระยะเวลาดำเนินการเลิกจ้างอย่างรีบร้อน แสดงได้ว่า จำเลยมีเจตนาเลิกจ้างโจทก์เพื่อหลีกเลี่ยงไม่จ่ายค่าชดเชยและเงินอื่นตามกฎหมาย จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์โดยโจทก์ไม่ได้กระทำความผิด ไม่ได้บอกกล่าวล่วงหน้า และไม่มีเหตุผลอันสมควร เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรม แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 1,922,212 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในต้นเงิน 1,013,200 บาท และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีในต้นเงิน 909,012 บาท นับถัดจากวันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษแผนกคดีแรงงาน พิพากษายืน
จำเลยฎีกาโดยได้รับอนุญาตจากศาลฎีกา
ศาลฎีกาแผนกคดีแรงงานวินิจฉัยว่า ศาลแรงงานภาค 9 ฟังข้อเท็จจริงเป็นยุติว่า โจทก์ทำงานเป็นลูกจ้างของจำเลยในตำแหน่งครูฝึกบุคลากร ต่อมาโจทก์เข้าเป็นผู้ถือหุ้นและกรรมการในบริษัทพัทยา อินเตอร์เนชั่นแนล เซฟตี้ เทรนนิ่ง เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งประกอบกิจการอบรมบุคลากรด้านความปลอดภัยในการทำงานในทะเล โจทก์ส่งข้อมูลตามเอกสารหมาย ล.5 จากจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ของจำเลยไปเข้าจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวของโจทก์ แล้วศาลแรงงานภาค 9 วินิจฉัยว่า การเลิกจ้างโจทก์เป็นการเลิกจ้างโดยโจทก์ไม่มีความผิด ศาลอุทธรณ์คดีชำนัญพิเศษวินิจฉัยว่า คำพิพากษาศาลแรงงานภาค 9 วินิจฉัยในประเด็นแห่งคดีครบถ้วนแล้ว อุทธรณ์อื่นของจำเลยเป็นอุทธรณ์ที่ไม่ชัดแจ้งและเป็นอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงแล้วพิพากษายืน
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยข้อ 1.3 มีว่า การที่โจทก์ส่งข้อมูลตามรายงานการตรวจสอบเอกสารหมาย ล.5 ไปที่จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวของโจทก์ เป็นการทำซ้ำซึ่งข้อมูลอันเป็นลิขสิทธิ์ของคู่สัญญาของจำเลย อันเป็นการกระทำความผิดอาญาโดยเจตนาแก่นายจ้างและเป็นการจงใจทำให้จำเลยซึ่งเป็นนายจ้างได้รับความเสียหาย จำเลยจึงไม่ต้องจ่ายเงินตามฟ้องแก่โจทก์หรือไม่นั้น เมื่อเอกสารหมาย ล.5 เป็นเอกสารของสถาบันฝึกอบรมปิโตรเลียมนอกชายฝั่งของสหราชอาณาจักร (Offshore Petroleum Industry Training Organization หรือ OPITO) ที่จัดทำขึ้นเพื่อใช้ในในการตรวจสอบกิจการของจำเลย ซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับกิจการและการบริหารจัดการองค์กรของจำเลยเพื่อรับรองมาตรฐานการฝึกอบรมและการประเมินของศูนย์ฝึกอบรมเศรษฐพัฒน์ของจำเลย และข้อมูลในเอกสารดังกล่าวเป็นข้อมูลที่จำเลยมีสิทธิหวงกันตามข้อตกลงระหว่างจำเลยกับสถาบันฝึกอบรมปิโตรเลียมนอกชายฝั่งของสหราชอาณาจักร ซึ่งระบุว่าห้ามทำซ้ำทั้งหมด หรือบางส่วนของเอกสาร และห้ามเปิดเผยเอกสารต่อบุคคลที่สามโดยไม่ได้รับอนุญาตจากสถาบันฝึกอบรมปิโตรเลียมนอกชายฝั่งของสหราชอาณาจักรก่อน ทั้งในการทำงาน โจทก์กับจำเลยก็มีข้อตกลงต่อการรักษาความลับและพันธกรณีอื่น ๆ โดยโจทก์ยินยอมที่ป้องกันรักษาความลับของข้อมูลและสารสนเทศของจำเลย แสดงให้เห็นว่า จำเลยให้ความสำคัญต่อการป้องกันและเก็บรักษาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับกิจการของจำเลย การที่โจทก์นำข้อมูลเอกสารหมาย ล.5 ส่งเข้าจดหมายอิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวของโจทก์ทำให้ง่ายต่อการส่งข้อมูลดังกล่าวต่อไปหรือนำข้อมูลออกไปโดยจำเลยไม่อาจติดตามได้ การกระทำของโจทก์ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความไม่สุจริตและเป็นการนำความลับของบริษัทจำเลยไปเปิดเผยโดยไม่ได้รับอนุญาตจากจำเลย จึงเป็นการจงใจทำให้นายจ้างได้รับความเสียหายและถือเป็นการกระทำผิดวินัยตามข้อบังคับเกี่ยวกับการทำงานตามเอกสารหมาย จ.2 ข้อ 33.4 และ 33.5 เป็นกรณีร้ายแรง จำเลยจึงเลิกจ้างโจทก์ได้โดยไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ.2541 มาตรา 119 (2) (4) ไม่ต้องบอกกล่าวล่วงหน้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 583 และไม่เป็นการเลิกจ้างที่ไม่เป็นธรรมตามพระราชบัญญัติจัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 49 และเมื่อจำเลยเลิกจ้างโจทก์โดยมีเหตุอันควร การที่จำเลยปรับลดเงินบำเหน็จของโจทก์จึงเป็นไปตามแผนสวัสดิการเฉพาะท้ายคำแถลงขอนำส่งเอกสารของโจทก์ ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2560 โดยชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังขึ้น
พิพากษากลับ ให้ยกฟ้องโจทก์