แหล่งที่มา : สำนักวิชาการ
ย่อสั้น
เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว หากจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือกำหนดโทษไม่ถูกต้อง จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลอุทธรณ์ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 193 แต่จำเลยมิได้ใช้สิทธิจนคดีถึงที่สุดไปแล้ว จึงมายื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่ ดังนี้ หากศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่ ย่อมมีผลเป็นการแก้ไขคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วขัดต่อ ป.วิ.อ. มาตรา 190 ซึ่งห้ามมิให้แก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอ่านแล้วนอกจากถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด
ย่อยาว
คดีสืบเนื่องมาจากศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคสองและวรรคสาม การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไปตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต และปรับ 1,500,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ จำคุก 15 ปี และปรับ 900,000 บาท เพิ่มโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 92 ประกอบมาตรา 51 กระทงละหนึ่งในสาม ฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิตเพิ่มโทษไม่ได้ คงจำคุกตลอดชีวิตและปรับ 2,000,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ จำคุก 20 ปี และปรับ 1,200,000 บาท ลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78 ประกอบมาตรา 53 กระทงละกึ่งหนึ่ง ฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุก 25 ปี และปรับ 1,000,000 บาท ฐานพยายามจำหน่ายยาเสพติดให้โทษ จำคุก 10 ปี และปรับ 600,000 บาท รวมจำคุก 35 ปี และปรับ 1,600,000 บาท ไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 แต่ให้กักขังแทนค่าปรับไม่เกิน 2 ปี ริบเมทแอมเฟตามีนและโทรศัพท์เคลื่อนที่ของกลาง คดีถึงที่สุด
จำเลยยื่นคำร้องว่า เมทแอมเฟตามีนที่โจทก์หาว่าจำเลยพยายามจำหน่ายมีจำนวน 200 เม็ด น้ำหนักเท่าใดไม่ปรากฏชัด และไม่ระบุปริมาณคำนวณเป็นสารบริสุทธิ์ กรณีจึงเป็นความผิดตามกฎหมายเดิม มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่ง และเป็นความผิดตามกฎหมายใหม่ มาตรา 15 วรรคสาม (2), 66 วรรคหนึ่ง โทษจำคุกจึงต้องใช้กฎหมายที่แก้ไขใหม่ในส่วนที่เป็นคุณบังคับแก่จำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 ทั้งความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนต้องรับโทษเพียงสองในสามของความผิดสำเร็จ การที่ศาลชั้นต้นวางโทษจำคุก 15 ปี จึงเป็นการคลาดเคลื่อน จำเลยจึงควรได้รับโทษจำคุกเพียง 10 ปี ก่อนเพิ่มโทษและลดโทษ นอกจากนี้ศาลชั้นต้นลงโทษจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน โดยลงโทษจำเลยในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกตลอดชีวิต จึงไม่อาจนำโทษจำคุกในความผิดฐานอื่นมารวมได้อีก จำเลยจึงควรได้รับโทษจำคุกทั้งสิ้นเพียง 25 ปี ขอให้ปรับบทลงโทษจำเลยใหม่
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า คดีถึงที่สุดแล้ว ไม่อาจปรับบทลงโทษให้ตามที่จำเลยขอให้ยกคำร้อง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ที่จำเลยฎีกาขอให้ปรับบทลงโทษใหม่ในส่วนที่เป็นคุณแก่จำเลยนั้น เห็นว่า ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 บัญญัติว่า “ถ้ากฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิดให้ใช้กฎหมายในส่วนที่เป็นคุณแก่ผู้กระทำความผิด ไม่ว่าในทางใด เว้นแต่คดีถึงที่สุดแล้วแต่ในกรณีที่คดีถึงที่สุดแล้วดังต่อไปนี้…” ดังนั้น การที่จะนำบทบัญญํติดังกล่าวมาใช้บังคับในฐานะกฎหมายที่เป็นคุณได้จะต้องเป็นกรณีที่กฎหมายที่ใช้ในขณะกระทำความผิดแตกต่างกับกฎหมายที่ใช้ในภายหลังการกระทำความผิด แต่ขณะที่จำเลยกระทำความผิดคดีนี้เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2548 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 15 และมาตรา 66 แห่งพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2522 มีผลใช้บังคับแล้ว จึงต้องนำบทบัญญัติมาตรา 15 และมาตรา 66 ซึ่งใช้บังคับอยู่ในขณะที่จำเลยกระทำความผิดมาใช้บังคับ ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามบทบัญญัติมาตราดังกล่าวได้ ส่วนที่จำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นลงโทษจำคุกจำเลยมีกำนด 15 ปี ในความผิดฐานพยายามจำหน่ายเมทแอมเฟตามีนไม่ถูกต้อง ต้องลงโทษจำคุกจำเลยมีกำหนด 10 ปี และจำเลยต้องได้รับโทษจำคุกรวม 25 ปี เพราะเมื่อลงโทษจำเลยจำคุกตลอดชีวิตแล้วไม่อาจนำโทษในความผิดฐานอื่นมารวมได้อีกนั้น เห็นว่า เมื่อศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยแล้ว หากจำเลยเห็นว่าศาลชั้นต้นกำหนดโทษจำคุกสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้หรือกำหนดโทษไม่ถูกต้อง จำเลยชอบที่จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำพิพากษาไปยังศาลอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 แต่จำเลยมิได้ใช้สิทธิดังกล่าวจนคดีถึงที่สุดไปนานแล้ว จำเลยจึงมายื่นคำร้องขอให้ศาลกำหนดโทษจำเลยใหม่ โดยอ้างประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 80 และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ 152/2534 ดังนี้ หากศาลฟังข้อกฎหมายและคำพิพากษาศาลฎีกาตามที่จำเลยอ้างแล้ววินิจฉัยกำหนดโทษจำเลยใหม่ ย่อมมีผลเป็นการแก้ไขคำพิพากษาซึ่งถึงที่สุดแล้วขัดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 190 ซึ่งห้ามมิให้แก้ไขคำพิพากษาหรือคำสั่งซึ่งอ่านแล้วนอกจากถ้อยคำที่เขียนหรือพิมพ์ผิดพลาด เป็นเรื่องที่จำเลยจะอุทธรณ์ฎีกาคำพิพากษาศาลชั้นต้น ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 7 พิพากษามานั้นชอบแล้ว ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน