แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ
ย่อสั้น
โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน 94,912 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 47,881.44 บาท พร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 2ให้ยกฟ้อง คดีเฉพาะจำเลยที่ 1 มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในจำนวนเงิน 94,912 บาท นั้นไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะการพิจารณาว่าคดีใดอุทธรณ์ได้หรือไม่ต้องพิจารณาจากข้อเรียกร้องของโจทก์และจำเลยเป็นรายบุคคลไป การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์โดยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ก่อนว่าจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่และต้องรับผิดในจำนวนเงิน 94,912 บาท หรือไม่จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมเพิกถอนกระบวนการพิจารณาที่ไม่ชอบนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 247
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองได้ร่วมกันสั่งซื้อสินค้าประเภทข้าวสาร ข้าวเหนียวปลายข้าว น้ำตาลทราย จากโจทก์หลายครั้ง โจทก์ส่งมอบสินค้าแก่จำเลยทั้งสองครบถ้วนแล้ว จำเลยทั้งสองได้ชำระราคาสินค้าแก่โจทก์บางส่วนและยังคงค้างชำระ 93,890 บาท ขอให้บังคับจำเลยทั้งสองชำระเงิน 94,912 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงิน 93,890 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
จำเลยทั้งสองให้การว่า จำเลยที่ 2 ไม่ได้ร่วมประกอบการค้ากับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 เคยซื้อสินค้าจากโจทก์ แต่ได้ชำระราคาครบถ้วนแล้ว ขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิจารณาแล้ว พิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 47,881.44 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปีของเงิน 47,350 บาท นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง
โจทก์อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาให้ยกอุทธรณ์โจทก์
โจทก์ฎีกา โดยผู้พิพากษาที่ได้นั่งพิจารณาคดีในศาลชั้นต้นรับรองว่ามีเหตุสมควรที่จะฎีกาในข้อเท็จจริงได้
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “คดีนี้โจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยทั้งสองร่วมกันชำระเงิน94,912 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชำระเงิน 47,881.44 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 7.5 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ ส่วนจำเลยที่ 2ให้ยกฟ้อง คดีเฉพาะจำเลยที่ 1 มีจำนวนทุนทรัพย์ที่พิพาทกันในชั้นอุทธรณ์ไม่เกินห้าหมื่นบาท จึงต้องห้ามอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 224 วรรคหนึ่ง ส่วนที่โจทก์อุทธรณ์ขอให้จำเลยที่ 2 รับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1 ในจำนวนเงิน 94,912 บาท ตามฟ้อง คดีในส่วนของจำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องห้ามอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง เพราะการพิจารณาว่าคดีใดอุทธรณ์ได้หรือไม่ต้องพิจารณาจากข้อเรียกร้องของโจทก์และจำเลยเป็นรายบุคคลไป การที่ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์โดยมิได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 ก่อนว่าจำเลยที่ 2 ต้องร่วมรับผิดกับจำเลยที่ 1 หรือไม่ และต้องรับผิดในจำนวนเงิน 94,912 บาท หรือไม่จึงไม่ชอบ ศาลฎีกาย่อมเพิกถอนกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบนั้นได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) ประกอบมาตรา 247”
พิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 3 ในส่วนที่เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์ภาค 3 พิพากษาใหม่ตามรูปคดี คืนค่าขึ้นศาลส่วนที่เกิน 200 บาท แก่โจทก์