คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7158/2546

แหล่งที่มา : เนติบัณฑิตยสภา

ย่อสั้น

ผู้เสียหายโอนสิทธิความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเช็คพิพาทให้แก่ ส. แล้ว กอปรกับเช็คพิพาทเป็นเช็คผู้ถือซึ่งย่อมโอนให้แก่กันได้ด้วยการส่งมอบ ส. จึงเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงิน และนับเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงเมื่อ ธ. เป็นผู้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีแก่จำเลย การร้องทุกข์ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย พนักงานอัยการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันใดไม่ปรากฏชัดเดือนมกราคม 2540 เวลากลางวัน จำเลยกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกันกล่าวคือ จำเลยออกเช็คธนาคารกรุงเทพฯพาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) สาขาตราด ลงวันที่ 20 มกราคม 2540 จำนวนเงิน100,000 บาท และเช็คธนาคารกรุงเทพฯ พาณิชย์การ จำกัด (มหาชน) สาขาตราด ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2540 จำนวน 200,000 บาท มอบให้นายธนพล เจียวพงษ์พิพัฒน์ผู้เสียหาย เพื่อชำระหนี้ค่าซื้อรถยนต์อันเป็นหนี้ที่มีอยู่จริงและบังคับได้ตามกฎหมาย ต่อมาวันที่ 9 เมษายน 2540 เวลากลางวัน ผู้เสียหายนำเช็คดังกล่าวเข้าบัญชีเพื่อเรียกเก็บเงิน แต่ปรากฏว่าธนาคารตามเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินโดยให้เหตุผลว่า “มีคำสั่งให้ระงับการจ่าย” การกระทำของจำเลยเป็นการออกเช็คโดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็ค หรือในขณะออกเช็คไม่มีเงินอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้หรือให้ใช้เงินจำนวนสูงกว่าจำนวนเงินที่มีอยู่ในบัญชีอันจะพึงให้ใช้เงินได้ในขณะที่ออกเช็คนั้น และห้ามธนาคารมิให้ใช้เงินตามเช็คโดยทุจริต ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91

จำเลยให้การปฏิเสธ

ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2534 มาตรา 4 อันเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิดไป ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 กระทงแรกจำคุก4 เดือน กระทงสอง จำคุก 9 เดือน รวม 2 กระทง จำคุก 13 เดือน

จำเลยอุทธรณ์

ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษากลับให้ยกฟ้อง

โจทก์ฎีกา

ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังเป็นที่ยุติว่าจำเลยซื้อรถยนต์จากผู้เสียหายโดยสั่งจ่ายเช็คพิพาททั้งสองฉบับเพื่อการชำระหนี้ เช็คพิพาททั้งสองฉบับเป็นเช็คสั่งจ่ายแก่ผู้ถือและมีการนำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคาร โดยเข้าบัญชีของนายสมชาติเจียวพงษ์พิพัฒน์ ซึ่งเป็นน้องชายของผู้เสียหาย มีปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์ว่า ผู้เสียหายเป็นผู้ทรงเช็คพิพาทในขณะที่มีการนำไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารหรือไม่กล่าวอีกนัยหนึ่งว่าผู้เสียหายเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงตามกฎหมายหรือไม่ โจทก์ฎีกาอ้างว่าผู้เสียหายเบิกความ (ตอบคำซักถามพนักงานอัยการโจทก์) ว่าผู้เสียหายนำเช็คทั้งสองฉบับไปเข้าบัญชีของนายสมชาติแทนผู้เสียหายที่ธนาคารนครธน จำกัด (มหาชน) เพื่อให้เรียกเก็บเงินให้แสดงว่าเป็นการนำไปเรียกเก็บเงินแทนผู้เสียหาย ซึ่งแม้จะเบิกความเช่นนั้นจริง แต่เมื่อพิจารณาคำเบิกความคราวตอบคำถามค้านทนายจำเลย ผู้เสียหายกลับยอมรับว่าตนมีบัญชีเงินฝากส่วนตัวและรับว่าเหตุที่มีการนำเช็คพิพาททั้งสองฉบับไปเข้าบัญชีของนายสมชาติ เนื่องจากตน (หมายถึงผู้เสียหาย) มีหนี้กับนายสมชาติกอปรกับนายสมชาติเองก็เบิกความตอบคำถามค้านทนายจำเลยเช่นกันว่า เช็คพิพาททั้งสองฉบับผู้เสียหายนำมามอบให้เพื่อเข้าบัญชีของตนเป็นการชำระหนี้ที่พี่ชาย (หมายถึงผู้เสียหาย) เป็นหนี้ตนเมื่อข้อเท็จจริงตามที่ตอบคำถามค้านทนายจำเลยของพยานโจทก์ปากสำคัญทั้งสองเป็นปรปักษ์ต่อตนเอง จึงย่อมมีน้ำหนักในการรับฟังข้อเท็จจริงเชื่อว่าผู้เสียหายได้โอนสิทธิความเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในเช็คพิพาททั้งสองฉบับให้แก่นายสมชาติแล้ว แม้พยานโจทก์มิได้เบิกความโดยชัดแจ้งว่าเป็นหนี้สินใดต่อกันก็ตามกอปรกับเช็คพิพาทเป็นเช็คที่สั่งจ่ายแก่ผู้ถือซึ่งย่อมโอนให้แก่กันได้ด้วยการส่งมอบผู้ทรงเช็คพิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายในขณะที่ธนาคารเจ้าของเช็คปฏิเสธการจ่ายเงินจึงเป็นนายสมชาติ และนับเป็นผู้เสียหายที่แท้จริงเมื่อปรากฏว่าผู้ร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนเพื่อให้ดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นนายธนพลในฐานะผู้เสียหายการร้องทุกข์ย่อมไม่ชอบด้วยกฎหมาย ที่ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษาว่า โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องนั้นชอบแล้วฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น”

พิพากษายืน

Share