แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ผู้ตายกับ ช. ชกต่อยกับ ก. และ ร. ระหว่างนั้น ว. วิ่งเข้าไปใช้อาวุธมีดฟันศีรษะผู้ตาย 9 ที แล้ววิ่งหนีไป ต่อมาจำเลยวิ่งไปใช้ขวดตีศีรษะผู้ตาย โดยไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดที่แสดงว่าจำเลย ก. ร. และ ว. ร่วมกันคบคิดจะฆ่าผู้ตายมาก่อน ผู้ตายกับจำเลยและพวกไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองอย่างรุนแรงถึงขนาดจะเอาชีวิตกันมาก่อน จำเลยไม่เคยรู้จักกับผู้ตาย เบื้องต้นจำเลยกับพวกมีวัตถุประสงค์มาเที่ยวงานวัด จำเลยไม่ทราบมาก่อนว่า ว. มีอาวุธ ก. กับ ร. ไม่ได้ชักชวนให้จำเลยไปทำร้ายผู้ตาย เหตุที่จำเลยใช้ขวดตีทำร้ายผู้ตายเกิดจากความไม่พอใจและหมั่นไส้ในกิริยาท่าทางและมีอาการเมาสุราเท่านั้น และเหตุที่จำเลยกับพวกวิ่งหนีไปขึ้นรถจักรยานยนต์ด้วยกัน เพราะเมื่อตอนมาเที่ยวงานวัดที่เกิดเหตุจำเลยกับพวกมาด้วยกันจึงต้องกลับด้วยกัน บาดแผลที่ผู้ตายได้รับมิใช่ผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของจำเลย การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานเป็นตัวการร่วมกันฆ่าผู้อื่น การกระทำของจำเลยเป็นเพียงความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้ถึงอันตรายแก่กายและจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 เท่านั้น
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ , ๘๓
จำเลยให้การปฏิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๘๘ ประกอบมาตรา ๘๓
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า การที่จะเป็นตัวการร่วมกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ นั้น จะต้องมีพฤติการณ์ที่ส่อแสดงว่า ได้ร่วมรู้เห็นเป็นใจโดยร่วมแรงร่วมใจกันมาก่อนโดยยอมรับเอาการกระทำของพวกเดียวกันเป็นการกระทำของตนเองด้วย คดีนี้พยานโจทก์เบิกความทำนองเดียวกันว่า ระหว่างที่ผู้ตายชกต่อยกับนายกาศและนายรอนนั้น นายวารินทร์ได้วิ่งเข้าไปใช้อาวุธมีดฟันศีรษะผู้ตายแล้ววิ่งหนีไป ต่อมาจำเลยวิ่งเข้าไปใช้ขวดตีศีรษะผู้ตายเท่านั้น ไม่ปรากฏข้อเท็จจริงใดแสดงว่า จำเลยกับนายกาศ นายรอน และนายวารินทร์ได้ร่วมกันคบคิดจะมาฆ่าผู้ตายอยู่ก่อน ผู้ตายกับจำเลยและพวกก็ไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อนอย่างรุนแรงถึงกับต้องการเอาชีวิตกัน จำเลยก็ไม่เคยรู้จักกับผู้ตายมาก่อน แม้ในชั้นสอบสวนจำเลยจะให้การว่า จำเลยได้นั่งดื่มสุราร่วมกับนายกาศ นายรอน และนายวารินทร์ที่บ้านของนายชม จากนั้นจึงขี่รถจักรยานยนต์ไปเที่ยวงานด้วยกัน เมื่อไปถึงได้แยกย้ายกันไปดูมหรสพต่าง ๆ จนกระทั่งเวลาประมาณ ๒๓ นาฬิกา ขณะที่จำเลยยืนชมหมอลำซิ่งอยู่นั้นนายกาศกับนายรอนเดินมาหาจำเลย นายกาศบอกว่าผู้ตายตบหัวนายกาศ จากนั้นนายกาศกับนายรอนได้เดินไปหาผู้ตายที่บริเวณหน้าเวทีแล้วชกต่อยกับผู้ตาย เมื่อมีผู้เข้าไปฟันศีรษะผู้ตายแล้ว จำเลยจึงถือขวดสุราวิ่งเข้าไปตีผู้ตาย จากนั้นได้วิ่งออกจากบริเวณที่เกิดเหตุไปหน้าวัดทางด้านทิศเหนือบริเวณที่จอดรถจักรยานยนต์ของพวกจำเลยที่ขับรถจักรยานยนต์มาเที่ยว รอกันอยู่ประมาณครึ่งนาทีนายกาศ นายวารินทร์และจำเลยได้ขับขี่รถจักรยานยนต์หลบหนีไปด้วยกัน ซึ่งเห็นได้ว่า จำเลยกับพวกมีวัตถุประสงค์จะมาเที่ยวงานวัดเท่านั้น จำเลย นายกาศ หรือนายรอนจึงมิได้พกพาอาวุธใดมาด้วย นายวารินทร์จะนำอาวุธมีดมาจากไหนก็ไม่ปรากฏ น่าเชื่อว่าจำเลยคงไม่รู้มาก่อนว่านายวารินทร์มีอาวุธมีดซึ่งจำเลยก็ให้การว่า ไม่ทราบมาก่อนว่าพวกที่มาด้วยกันผู้ใดพกอาวุธใดมาด้วย ซึ่งก็น่าจะเป็นความจริง เหตุที่นายกาศกับนายรอนมาบอกจำเลยว่านายกาศถูกผู้ตายตบหัวก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นระหว่างนายกาศกับผู้ตายเท่านั้นไม่ปรากฏว่า นายกาศกับนายรอนมาพูดชักชวนให้จำเลยไปทำร้ายผู้ตาย แม้ขณะที่นายกาศกับผู้ตายชกต่อยกันจำเลยจะถือขวดสุรายืนอยู่ข้างเวทีก็ปรากฏว่า จำเลยให้การว่า เหตุที่ใช้ขวดตีทำร้ายผู้ตายเกิดจากความไม่พอใจและหมั่นไส้ในกิริยาท่าทางและมีอาการเมาสุราเท่านั้น เหตุที่จำเลยกับพวกวิ่งหนีและไปขึ้นรถจักรยานยนต์ด้วยกันก็เพราะเมื่อตอนมาเที่ยวงานวัดได้มาด้วยกันและจอดรถจักรยานยนต์ไว้ที่หน้าวัดจึงต้องกลับด้วยกัน นอกจากนี้บาดแผลที่ผู้ตายได้รับที่ทำให้ผู้ตายถึงแก่ความตายโดยตรงก็คือบาดแผลที่เกิดจากของมีคมฟันอย่างรุนแรง มิใช่ผลโดยตรงที่เกิดจากการกระทำของจำเลย พฤติการณ์ของจำเลยกับพวกดังกล่าวมิได้แสดงว่าจำเลยกับพวกร่วมรู้เห็นเป็นใจและร่วมกันกระทำผิดโดยมีเจตนาฆ่าผู้ตาย อันเป็นตัวการร่วมกันตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๓ การกระทำของจำเลยเป็นเพียงเจตนาทำร้ายผู้อื่นไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๙๑ ดังที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๔ วินิจฉัยเท่านั้น ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.