คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5874/2546

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

โจทก์ร่วมกับจำเลยและ ฉ. พวกจำเลยไม่เคยรู้จักและไม่มีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน โจทก์ร่วมพบกับจำเลยและ ฉ. ในที่เกิดเหตุโดยบังเอิญ การที่โจทก์ร่วมเดินเข้าไปหากลุ่มของจำเลยกับ ฉ. แล้วถูก ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงถูกบริเวณช่องท้อง 1 นัด เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด การที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จำเลยหาได้ร่วมวางแผนหรือสมคบคิดกับ ฉ. ด้วยไม่ แม้ภายหลังที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมแล้ว ฉ. กับจำเลยจะวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุด้วยกัน แล้ว ฉ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับหลบหนีไปก็เป็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นภายหลังที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าโจทก์ร่วมแล้ว การกระทำของจำเลยมิได้เกิดขึ้นก่อนหรือขณะ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จึงไม่อาจถือว่าเป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิง โจทก์ร่วมแต่อย่างใด การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่น

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๓๓, ๘๐, ๘๖, ๒๘๘ และริบรถจักรยานยนต์ ของกลาง
จำเลยให้การรับสารภาพ
ระหว่างพิจารณา ผู้เสียหายยื่นคำร้องขอเข้าร่วมเป็นโจทก์ ศาลชั้นต้นอนุญาต
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๘๖, ๘๐, ๒๘๘ จำคุก ๗ ปี จำเลยให้การรับสารภาพ เป็นประโยชน์แก่การพิจารณา มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษให้กึ่งหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๗๘ คงลงโทษจำคุก ๓ ปี ๖ เดือน ริบรถจักรยานยนต์ของกลาง
จำเลยอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษากลับให้ยกฟ้อง ไม่ริบจักรยานยนต์ของกลาง
โจทก์ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงที่คู่ความไม่ได้โต้เถียงกันในชั้นฎีการับฟังได้ว่า ในวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุตามฟ้อง ฉ. พวกของจำเลยใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม ๑ นัด ถูกที่บริเวณหน้าท้องได้รับบาดเจ็บ หลังจากนั้น จำเลยขับรถจักรยานยนต์พา ฉ. หลบหนีจากที่เกิดเหตุไป
ปัญหาที่ต้องวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์มีว่า จำเลยกระทำความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิด ฐานพยายามฆ่าโจทก์ร่วมหรือไม่ ได้ความจากคำเบิกความของโจทก์ร่วม พยานโจทก์และโจทก์ร่วมทำนองเดียวกันว่า ก่อนเกิดเหตุบุคคลทั้งสามดังกล่าวไปตามหาน้องชายโจทก์ร่วมบริเวณที่เกิดเหตุ โจทก์ร่วมเข้าไปตบศีรษะชายคนหนึ่งซึ่งโจทก์ร่วมจำได้ว่าเคยรังแกน้องชายโจทก์ร่วม ขณะนั้นโจทก์ร่วมหันมาเห็นจำเลย ฉ. กับพวกยืนดูอยู่ห่างออกไปประมาณ ๓ เมตร โจทก์ร่วมจึงร้องถามจำเลยกับพวกว่า มองอะไร จำเลยตอบว่า แล้วมึงจะทำไม โจทก์ร่วมเดินเข้าไปหา จำเลยกับพวก ฉ. ใช้อาวุธปืนสั้นยิงโจทก์ร่วม ๑ นัด ถูกที่บริเวณช่องท้อง จากนั้นจำเลยกับพวกวิ่งจากที่เกิดเหตุแล้วจำเลย ขับรถจักรยานยนต์โดยมี ฉ. นั่งซ้อนท้ายหลบหนีไป เห็นว่า โจทก์ร่วมกับจำเลยและ ฉ. พวกจำเลยซึ่งใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมไม่เคยรู้จักและไม่เคยมีสาเหตุโกรธเคืองกันมาก่อน โจทก์ร่วมพบกับจำเลยและ ฉ. ในที่เกิดเหตุโดยบังเอิญ การที่โจทก์ร่วมเดินเข้าไปหากลุ่มของจำเลยกับ ฉ. แล้วถูก ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงถูกบริเวณช่องท้อง ๑ นัด เป็นเหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นในทันทีทันใด โดยพฤติการณ์ที่จำเลยไม่อาจคาดคิดว่าโจทก์ร่วมจะเดินเข้ามาหากลุ่มของจำเลยจึงถูก ฉ. ใช้อาวุธปืนยิง ฉะนั้น การที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมจึงเป็นการกระทำที่เกิดขึ้นเฉพาะหน้า จำเลยหาได้ร่วมวางแผนหรือสมคบคิดกับ ฉ. ด้วยไม่ แม้ภายหลังที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมแล้ว ฉ. กับจำเลยจะวิ่งออกไปจากที่เกิดเหตุ ด้วยกันแล้ว ฉ. นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์ที่จำเลยขับหลบหนีไปก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายหลังที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงพยายามฆ่าโจทก์ร่วมแล้ว การกระทำของจำเลยมิได้เกิดขึ้นก่อนหรือขณะ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วม จึงไม่อาจถือได้ว่า เป็นการช่วยเหลือหรือให้ความสะดวกก่อนหรือขณะที่ ฉ. ใช้อาวุธปืนยิงโจทก์ร่วมแต่อย่างใด การกระทำของจำเลย จึงไม่เป็นความผิดฐานสนับสนุนผู้อื่นกระทำความผิดฐานพยายามฆ่าผู้อื่นดังโจทก์ฟ้อง ที่ศาลอุทธรณ์ภาค ๑ พิพากษายกฟ้องนั้น ศาลฎีกาเห็นพ้องด้วย ฎีกาของโจทก์ฟังไม่ขึ้น
พิพากษายืน.

Share