แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา715ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์คือดอกเบี้ยด้วยและตามสัญญาจำนองระบุว่าผู้จำนองตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ15ต่อปีโดยส่งดอกเบี้ยเดือนละครั้งการคิดดอกเบี้ยให้คิดทบต้นตามวิธีการของธนาคารข้อตกลงอื่นๆให้เป็นไปตามสัญญาต่อท้ายและให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจำนองซึ่งตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองกำหนดว่าผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ15ต่อปีในจำนวนเงินทั้งสิ้นที่ผู้จำนองเป็นหนี้เงินดอกเบี้ยนี้จะได้คิดในยอดเงินคงเหลือประจำวันและผู้จำนองยอมส่งดอกเบี้ยทุกๆเดือนเสมอไปหากผิดนัดชำระดอกเบี้ยที่กล่าวนี้ยอมให้ผู้รับจำนองคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นในบัญชีของผู้จำนองด้วยโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราดังกล่าวได้ตามข้อตกลงในสัญญาจำนองดังกล่าวเมื่อดอกเบี้ยที่ค้างชำระได้ถูกทบเข้าเป็นต้นเงินเสียแล้วจึงไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่า5ปี
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า โจทก์เป็นผู้รับจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 96050และ 96051 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างจากนางสาววลีรัตน์ ลิปิดาพร วงเงิน1,180,000 บาท ดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี นางสาววลีรัตน์ผิดนัด โจทก์จึงฟ้องบังคับให้ชำระหนี้ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23017/2535 ของศาลชั้นต้น ซึ่งศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางสาววลีรัตน์ชำระหนี้ให้แก่โจทก์จำนวน 2,186,753.62 บาทพร้อมด้วยดอกเบี้ยตามสัญญา ต่อมาเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนางสาววลีรัตน์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12573/2533 ของศาลชั้นต้นนำยึดที่ดินที่จำนองออกประมูลขายทอดตลาด และจำเลยเป็นผู้ซื้อได้โดยจำนองตกติดมาด้วย จำเลยขอไถ่ถอนจำนองเป็นจำนวนเงิน1,180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แต่ไม่เกิน 5 ปีโจทก์ไม่ยินยอมเพราะเงินที่จะรับใช้ให้เป็นจำนวนไม่สมกับราคาทรัพย์สินนั้น ขอให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 96050และ 96051 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างด้วยการใช้เงิน 3,321,708.67 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,186,753.62 บาท นับแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จ หากไม่ใช้เงินให้นำที่ดินโฉนดเลขที่ดังกล่าวออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ของนางสาววลีรัตน์หากขายทอดตลาดได้เงินสุทธิมากกว่าจำนวนที่จำเลยเสนอใช้แก่โจทก์ให้จำเลยออกค่าฤชาธรรมเนียมการขายทอดตลาดด้วย
จำเลยให้การว่า จำเลยเป็นผู้ซื้อที่ดินพร้อมสิ่งปลูกสร้างตามฟ้องจากการขายทอดตลาดโดยจำนองตกติดมาด้วยจริง แต่ความรับผิดของจำเลยมีเพียงหนี้ตามสัญญาจำนองคือต้นเงิน 1,180,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีเท่านั้น จำนวนหนี้ระหว่างโจทก์กับผู้จำนองเดิม 3,321,708.67 บาท จำเลยไม่ต้องรับผิดที่โจทก์ประเมินราคาทรัพย์จำนองแล้วกล่าวอ้างให้จำเลยรับผิดนั้นไม่ถูกต้อง ทั้งนี้เพราะการประเมินราคาทรัพย์จำนองเพื่อกำหนดสินไถ่จะต้องเป็นกรณีทรัพย์จำนองหลายสิ่งและไม่สามารถกำหนดราคาความรับผิดทรัพย์จำนองแต่ละสิ่งได้ว่าเป็นจำนวนเท่าใดของวงเงินจำนอง จำเลยขอไถ่ถอนจำนองตามวงเงินจำนองพร้อมดอกเบี้ยแม้การขายทอดตลาดทรัพย์จำนองได้เงินสุทธิล้ำจำนวนเงินที่จำเลยเสนอจะใช้ ก็ไม่ต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมการขายทอดตลาดขอให้ยกฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 96050และ 96051 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างแก่โจทก์เป็นเงินจำนวน 3,321,708.67 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 17.5 ต่อปี ของต้นเงิน 2,186,753.62 บาทนับแต่วันฟ้อง (วันที่ 26 กรกฎาคม 2536) จนกว่าจะชำระเสร็จหากไม่ชำระให้นำทรัพย์จำนองออกขายทอดตลาดนำเงินมาชำระหนี้ของนางสาววลีรัตน์ที่มีต่อโจทก์ตามคำพิพากษาคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23017/2535 ของศาลชั้นต้น หากขายทอดตลาดได้เงินสุทธิล้ำจำนวนเงินที่จำเลยเสนอว่าจะใช้ คือต้นเงินจำนวน 1,180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงินดังกล่าวเป็นเงิน 5 ปี ก็ให้จำเลยเป็นผู้ออกค่าฤชาธรรมเนียมในการขายทอดตลาด กับให้จำเลยใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนโจทก์ โดยกำหนดค่าทนายความ 4,000 บาท แต่ถ้าหากว่าขายทอดตลาดได้เงินจำนวนสุทธิน้อยกว่าจำนวนเงินที่จำเลยเสนอว่าจะใช้ ให้โจทก์ใช้ค่าฤชาธรรมเนียมแทนจำเลย โดยกำหนดค่าทนายความให้เท่ากัน
จำเลยอุทธรณ์ โดยได้รับอนุญาตให้อุทธรณ์อย่างคนอนาถาบางส่วนโดยให้จำเลยชำระค่าขึ้นศาลชั้นอุทธรณ์ตามจำนวนทุนทรัพย์1,200,000 บาท
ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 96050 และ 96051 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ)กรุงเทพมหานคร พร้อมสิ่งปลูกสร้างในจำนวนเงิน 1,180,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ไม่ทบต้น นับแต่วันจดทะเบียนจำนอง วันที่ 13 ตุลาคม 2531 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ให้จำเลยใช้ค่าขึ้นศาลในศาลชั้นต้นตามทุนทรัพย์ที่โจทก์ชนะคดีในชั้นอุทธรณ์นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
โจทก์ และ จำเลย ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า ข้อเท็จจริงที่คู่ความมิได้โต้แย้งกันฟังได้ยุติว่า นางสาววลีรัตน์ ลิปิดาพร ทำสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีกับโจทก์ในวงเงิน 1,500,000 บาท ตกลงให้โจทก์คิดดอกเบี้ยทบต้นเป็นรายเดือนในอัตราร้อยละ 15 ต่อปี และอาจเปลี่ยนแปลงเพิ่มหรือลดอัตราดอกเบี้ยได้ตามประกาศของธนาคารแห่งประเทศไทยโดยนางสาววลีรัตน์จดทะเบียนจำนองที่ดินพิพาททั้งสองแปลงพร้อมด้วยสิ่งปลูกสร้างเป็นประกันหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีดังกล่าวในวงเงิน 1,180,000 บาทพร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี มีข้อตกลงว่าหากบังคับจำนองได้เงินสุทธิน้อยกว่าจำนวนหนี้ นางสาววลีรัตน์ยอมชำระหนี้ส่วนที่ยังขาดอยู่จนครบตามสัญญาจำนอง เอกสารหมาย จ.5 ต่อมานางสาววลีรัตน์ผิดนัด โจทก์จึงฟ้องคดีบังคับให้ชำระหนี้ตามคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23017/2535 ของศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นพิพากษาให้นางสาววลีรัตน์ชำระหนี้แก่โจทก์จำนวน 2,186,753.62บาท พร้อมดอกเบี้ยตามสัญญา ต่อมาเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของนางสาววลีรัตน์ในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 12573/2533 ของศาลชั้นต้นนำยึดที่ดินพิพาทพร้อมสิ่งปลูกสร้างออกขายทอดตลาด จำเลยเป็นผู้ประมูลซื้อได้โดยติดจำนองโจทก์ไปด้วย จำเลยได้เสนอขอไถ่ถอนจำนองจากโจทก์แล้วในราคา 1,180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี แต่ไม่เกิน 5 ปี โจทก์ไม่ยอมรับ ปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของโจทก์และจำเลยในชั้นนี้มีว่า โจทก์มีสิทธิเรียกดอกเบี้ยที่ค้างชำระเกินกว่า 5 ปี และคิดดอกเบี้ยทบต้นอัตราร้อยละ 15 ต่อปีของต้นเงิน 1,180,000 บาท นับแต่วันที่จดทะเบียนจำนอง วันที่13 ตุลาคม 2531 จนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ได้หรือไม่ เห็นว่าประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715 บัญญัติว่า ทรัพย์สินซึ่งจำนองย่อมเป็นประกันเพื่อการชำระหนี้กับทั้งค่าอุปกรณ์คือดอกเบี้ยด้วย ตามสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.5 ข้อ 1 และข้อ 4กำหนดว่า ผู้จำนองตกลงให้ดอกเบี้ยร้อยละ 15 ต่อปี โดยส่งดอกเบี้ยเดือนละครั้ง การคิดดอกเบี้ยให้คิดทบต้นตามวิธีการของธนาคารข้อตกลงอื่น ๆ ให้เป็นไปตามสัญญาต่อท้ายและให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของสัญญาจำนอง ซึ่งตามสัญญาต่อท้ายสัญญาจำนองเอกสารหมาย จ.5ข้อ 2 กำหนดว่า ผู้จำนองยอมเสียดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 15 ต่อปีในจำนวนเงินทั้งสิ้นที่ผู้จำนองเป็นหนี้ เงินดอกเบี้ยนี้จะได้คิดในยอดเงินคงเหลือประจำวัน และผู้จำนองยอมส่งดอกเบี้ยทุก ๆ เดือนเสมอไป หากผิดนัดชำระดอกเบี้ยที่กล่าวนี้ยอมให้ผู้รับจำนองคำนวณดอกเบี้ยที่ค้างชำระทบต้นในบัญชีของผู้จำนองด้วยโจทก์จึงมีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นในอัตราดังกล่าวได้ตามข้อตกลงในสัญญาจำนองดังกล่าว เมื่อดอกเบี้ยที่ค้างชำระได้ถูกทบเข้าเป็นต้นเงินเสียแล้ว จึงไม่มีดอกเบี้ยค้างชำระเกินกว่า 5 ปีดังที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ เมื่อหนี้ตามสัญญากู้เบิกเงินเกินบัญชีอันเป็นหนี้ประธานที่จำนองเป็นประกันอยู่ โจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นจากนางสาววลีรัตน์ลูกหนี้ได้เพียงถึงวันที่โจทก์บอกเลิกสัญญา คือวันที่ 31 กรกฎาคม 2533 ตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นในคดีแพ่งหมายเลขแดงที่ 23017/2535 ความรับผิดตามสัญญาจำนองจึงเป็นอย่างเดียวกัน
พิพากษาแก้เป็นว่า ให้จำเลยไถ่ถอนจำนองที่ดินโฉนดเลขที่ 96050และ 96051 ตำบลบางซื่อ อำเภอดุสิต (บางซื่อ) กรุงเทพมหานครพร้อมสิ่งปลูกสร้างโดยใช้เงินจำนวน 1,180,000 บาท พร้อมดอกเบี้ยทบต้น อัตราร้อยละ 15 ต่อปี นับแต่วันจดทะเบียนจำนอง วันที่13 ตุลาคม 2531 จนถึงวันที่ 31 กรกฎาคม 2533 และดอกเบี้ยอัตราร้อยละ 15 ต่อปี ไม่ทบต้นนับถัดจากวันที่ 31 กรกฎาคม 2533เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์ นอกจากที่แก้คงให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์