คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 63/2540

แหล่งที่มา : สำนักงานส่งเสริมงานตุลาการ

ย่อสั้น

พยานโจทก์ทั้งสามผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องตรงกันยืนยันว่าได้แอบซุ่มดูขณะที่สายลับล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่1โดยสายลับเข้าไปพูดกับจำเลยที่1แล้วจำเลยที่1หันไปพูดกับจำเลยที่2จากนั้นจำเลยที่2เดินเข้าไปในถนนซอยสักครู่ก็กลับออกมาส่งถุงพลาสติกให้จำเลยที่1จำเลยที่1หยิบกล่องกระดาษจากถุงออกส่งให้สายลับสายลับส่งธนบัตรให้จำเลยที่2เมื่อสายลับให้สัญญาณและนำเฮโรอีนที่ล่อซื้อได้มามอบให้จึงเข้าตรวจค้นและจับจำเลยทั้งสองซึ่งเหตุที่จับจำเลยทั้งสองก็เพราะได้มีการสืบทราบและวางแผนจับกุมมาก่อนและที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างชั้นจับกุมจำเลยทั้งสองก็ให้การรับสารภาพพยานโจทก์จึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง

ย่อยาว

โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2538 เวลากลางคืนหลังเที่ยงจำเลยทั้งสองกระทำผิดต่อกฎหมายหลายกรรมต่างกัน คือ จำเลยทั้งสองร่วมกันมีเฮโรอีนอันเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดร้ายแรงในประเภท 1 จำนวน 10 หลอดพลาสติก น้ำหนัก 8.92 กรัม ไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายโดยขายเฮโรอีนดังกล่าวให้แก่สายลับผู้ล่อซื้อจำนวน 8 หลอดพลาสติก น้ำหนักไม่ปรากฎชัดในราคา 4,000 บาท อันเป็นการฝ่าฝืนต่อกฎหมาย เหตุเกิดที่แขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร เจ้าพนักงานตำรวจจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมด้วยธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 1 ฉบับฉบับละ 500 บาท 5 ฉบับ และฉบับละ 100 บาท 5 ฉบับ ซึ่งเป็นธนบัตรที่จำเลยทั้งสองได้มาจากการจำหน่ายเฮโรอีนกับเฮโรอีนที่เหลือจากการจำหน่ายจำนวน 2 หลอดพลาสติก และยึดเฮโรอีนที่จำเลยทั้งสองจำหน่ายให้แก่สายลับจำนวน 8 หลอดพลาสติก เป็นของกลางขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 4, 7,8, 15, 66, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83, 91 ริบเฮโรอีนของกลางและคืนธนบัตรของกลางจำนวน 4,000 บาท ที่ใช้ล่อซื้อแก่เจ้าของ
จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพ
จำเลยที่ 2 ให้การปฎิเสธ
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 15 วรรคหนึ่ง, 66 วรรคหนึ่งประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 83 เรียงกระทงลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 ฐานมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่าย จำคุกคนละ 9 ปี ฐานจำหน่ายเฮโรอีนจำคุกคนละ 8 ปีรวมจำคุกคนละ 17 ปี จำเลยที่ 1 ให้การรับสารภาพตลอดมาเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ส่วนจำเลยที่ 2 รับสารภาพในชั้นจับกุมและคำให้การชั้นสอบสวนของจำเลยที่ 2 เป็นประโยชน์แก่การพิจารณาอยู่บ้าง มีเหตุบรรเทาโทษ ลดโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78ให้จำเลยที่ 1 กึ่งหนึ่ง จำเลยที่ 2 หนึ่งในสี่ คงจำคุกจำเลยที่ 1ไว้ 8 ปี 6 เดือน จำคุกจำเลยที่ 2 ไว้ 12 ปี 9 เดือน ริบเฮโรอีนของกลางและคืนธนบัตรของกลางแก่เจ้าของ
จำเลย ทั้ง สอง อุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ พิพากษายืน
จำเลย ที่ 2 ฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า “ทางพิจารณาโจทก์นำสืบว่า เมื่อวันที่2 มีนาคม 2538 เวลา 21.30 นาฬิการ้อยตำรวจโทสมพงษ์ จันทรโรจน์วานิช และนายดาบตำรวจอภิสิทธิ์ คุ้มเมือง เจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิได้รับแจ้งจากสายลับว่าจะมีการจำหน่ายยาเสพติดให้โทษที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าคาเธ่ย์ ถนนเยาวราชแขวงสัมพันธวงศ์ เขตสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร ให้แก่สายลับในเวลา 21.40 นาฬิกา จึงแจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบและวางแผนเพื่อจับกุมคนร้ายโดยแบ่งกำลังออกเป็น 2 ชุดชุดแรกมีร้อยตำรวจโทอำนาจ โฉมฉาย เป็นหัวหน้าชุดพร้อมผู้ใต้บังคับบัญชา 3 คนแอบซุ่มดูเหตุการณ์ที่หน้าร้านทองฮั่วเซ่งเฮง ชุดที่สองมีร้อยตำรวจโทสมพงษ์ เป็นหัวหน้าชุด พร้อมผู้ใต้บังคับบัญชา 2 คนนั่งรออยู่ในรถยนต์ซึ่งนำไปจอดหน้าห้างสรรพสินค้าคาเธ่ย์ เมื่อสายลับล่อซื้อเรียบร้อยแล้วให้ยกมือขึ้นเกาศีรษะและนำยาเสพติดที่ล่อซื้อมาให้นายดาบตำรวจอภิสิทธิ์ตรวจสอบ หากเป็นยาเสพติดให้โทษให้ร้อยตำรวจโทอำนาจแจ้งทางวิทยุสื่อสารให้ร้อยตำรวจโทสมพงษ์ทราบและให้เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมเมื่อวางแผนการจับกุมแล้วได้นำธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 1 ฉบับ ฉบับละ 500 บาท5 ฉบับ และฉบับละ 100 บาท 5 ฉบับ ไปลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานตามเอกสารหมาย จ.1 โดยร้อยตำรวจโทอำนาจลงลายมือชื่อไว้ที่มุมบนด้านขวาของธนบัตรทุกฉบับตามธนบัตรหมาย จ.2 แล้วส่งมอบธนบัตรดังกล่าวให้สายลับไปล่อซื้อ หลังจากนั้นร้อยตำรวจโทอำนาจกับพวกและสายลับเดินทางไปยังหน้าห้างสรรพสินค้าคาเธ่ย์โดยเจ้าพนักงานตำรวจแบ่งกำลังแอบซุ่มดูเหตุการณ์ตามจุดที่วางแผนไว้ซึ่งห่างจากจุดที่ล่อซื้อประมาณ 8 เมตร สถานที่เกิดเหตุมีแสงสว่างจากไฟฟ้าหน้าห้างสรรพสินค้าคาเธ่ย์และร้านค้าใกล้เคียงสามารถมองเห็นได้ชัดเจนในระยะ 15 เมตร ส่วนสายลับขับรถจักรยานยนต์ไปทางด้านถนนเจริญกรุงตัดออกถนนมังกร เมื่อถึงจุดนัดหมายสายลับเข้าพูดกับจำเลยที่ 1 ซึ่งยืนรออยู่ แล้วจำเลยที่ 1 หันไปพูดกับจำเลยที่ 2 ซึ่งยืนอยู่ด้านหลังห่างประมาณ 1 เมตร หลังจากนั้นจำเลยที่ 2 เดินเข้าไปในถนนมังกรแล้วเดินกลับออกมาพร้อมด้วยถุงพลาสติกหูหิ้วลายจุดและส่งมอบถุงพลาสติกดังกล่าวให้จำเลยที่ 1จำเลยที่ 1 หยิบกล่องกระดาษสี่เหลี่ยมที่บรรจุอยู่ภายในถุงพลาสติกออกมาส่งมอบให้สายลับ สายลับส่งมอบธนบัตรที่ใช้ในการล่อซื้อให้จำเลยที่ 2 เสร็จแล้วยกมือขึ้นเกาศีรษะเป็นสัญญาณ หลังจากนั้นสายลับได้กลับมายังจุดที่ร้อยตำรวจโทอำนาจแอบซ่อนอยู่และส่งมอบกล่องกระดาษที่ได้จากจำเลยที่ 1 ให้นายดาบตำรวจอภิสิทธิ์นายดาบตำรวจอภิสิทธิ์ตรวจดูพบว่าภายในกล่องกระดาษดังกล่าวบรรจุยาเสพติดให้โทษประเภทเฮโรอีน จำนวน 8 หลอด จึงแจ้งให้ร้อยตำรวจโทอำนาจทราบ ร้อยตำรวจโทอำนาจแจ้งทางวิทยุสื่อสารให้ร้อยตำรวจโทสมพงษ์ทราบและสั่งเจ้าพนักงานตำรวจที่ซุ่มอยู่บริเวณที่เกิดเหตุเข้าจับจำเลยทั้งสอง ก่อนจับกุมได้แสดงตัวเป็นเจ้าพนักงานตำรวจและขอตรวจค้นจำเลยทั้งสองโดยร้อยตำรวจโทอำนาจเข้าจับและตรวจค้นจำเลยที่ 1 พบเฮโรอีนจำนวน 2 หลอดบรรจุอยู่ในหลอดพลาสติก เบอร์ 5 ที่กระเป๋ากางเกงด้านหน้าข้างขวาจำเลยที่ 1 รับว่าเฮโรอีนดังกล่าวเป็นของตน ส่วนร้อยตำรวจโทสมพงษ์เข้าจับและตรวจค้นจำเลยที่ 2 พบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อทั้งหมดอยู่ที่มือขวาของจำเลยที่ 2 ตรวจสอบแล้วปรากฏว่าธนบัตรดังกล่าวมีลายมือชื่อของร้อยตำรวจโทอำนาจลงไว้ที่มุมบนด้านขวาทุกฉบับตามธนบัตรหมาย จ.2 จำเลยที่ 2 รับว่าเป็นธนบัตรที่ได้มาจากการขายเฮโรอีน ร้อยตำรวจโทสมพงษ์จึงยึดเฮโรอีนทั้ง 10 หลอดและธนบัตรดังกล่าวเป็นของกลางโดยแจ้งข้อหาแก่จำเลยทั้งสองว่ามียาเสพติดให้โทษประเภทเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายและจำหน่ายจำเลยทั้งสองให้การรับสารภาพตามบันทึกการจับกุมและบัญชีของกลางเอกสารหมาย จ.3 และ จ.4 หลังจากนั้นร้อยตำรวจโทสมพงษ์นำตัวจำเลยทั้งสองพร้อมของกลางทั้งหมดส่งมอบให้พันตำรวจตรีสุคนธ์ เกษแก้ว พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิ พันตำรวจตรีสุคนธ์ไปตรวจสถานที่เกิดเหตุและทำแผนที่สังเขปแสดงสถานที่เกิดเหตุกับบันทึกการตรวจสถานที่เกิดเหตุไว้ตามเอกสารหมาย จ.5 และ จ.6 ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 1ให้การรับสารภาพ จำเลยที่ 2 ให้การปฎิเสธ ตามบันทึกคำให้การของผู้ต้องหาเอกสารหมาย จ.7 และ จ.8 พันตำรวจตรีสุคนธ์ส่งเฮโรอีนของกลางจำนวน 10 หลอด ไปตรวจพิสูจน์ที่กองพิสูจน์หลักฐานผลการตรวจพิสูจน์พบว่าของกลางดังกล่าวเป็นยาเสพติดให้โทษชนิดเฮโรอีนไฮโดรคลอไรด์ มีน้ำหนักรวม 8.92 กรัม ตามรายงานการตรวจพิสูจน์เอกสารหมาย จ.10
จำเลยที่ 2 นำสืบว่า วันเกิดเหตุเวลาประมาณ 19 นาฬิกาจำเลยทั้งสองไปซื้อรองเท้าที่ห้างสรรพสินค้าคาเธ่ย์ เสร็จแล้วจำเลยที่ 1 แยกไปคุยกับเพื่อนที่ปากซอยมังกร จำเลยที่ 2 นั่งรอที่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าดังกล่าว จนเวลา 21.40 นาฬิกาจำเลยที่ 1เดินกลับไปหาจำเลยที่ 2 เพื่อชวนกลับที่พัก ขณะจำเลยที่ 2กำลังจะออกเดินเจ้าพนักงานตำรวจก็เข้าจับจำเลยทั้งสองและยึดเงินจำนวน 4,000 บาท ของจำเลยที่ 2 ไปเป็นของกลาง แล้วนำจำเลยทั้งสองไปที่สถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิข่มขู่ให้จำเลยที่ 2ลงลายมือชื่อในบันทึกการจับกุมเอกสารหมาย จ.3 ชั้นสอบสวนจำเลยที่ 2 ให้การปฎิเสธ จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อในบันทึกคำให้การเอกสารหมาย จ.8 โดยมิได้อ่านข้อความ
พิเคราะห์แล้ว ข้อเท็จจริงเบื้องต้นฟังได้ว่า ตามวันเวลาและสถานที่เกิดเหตุร้อยตำรวจโทอำนาจ โฉมฉาย ร้อยตำรวจโทสมพงษ์จันทรโรจน์วานิช และนายดาบตำรวจอภิสิทธิ์ คุ้มเมือง เจ้าพนักงานตำรวจประจำสถานีตำรวจนครบาลจักรวรรดิกับพวกจับจำเลยทั้งสองได้พร้อมยึดเฮโรอีนจำนวน 2 หลอดพลาสติก จากจำเลยที่ 1 และธนบัตรฉบับละ 1,000 บาท 1 ฉบับ ฉบับละ 500 บาท 5 ฉบับ และฉบับละ 100 บาท5 ฉบับ รวม 4,000 บาท ซึ่งร้อยตำรวจโทอำนาจทำตำหนิไว้และมอบให้สายลับไปล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 1 กับเฮโรอีนจำนวน8 หลอดพลาสติกที่สายลับล่อซื้อได้จากจำเลยที่ 1 แล้วนำมามอบให้เป็นของกลาง คดีมีปัญหาวินิจฉัยตามฎีกาของจำเลยที่ 2 ว่า จำเลยที่ 2ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องหรือไม่ โดยจำเลยที่ 2ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ไม่เคยทราบมาก่อนว่าจำเลยที่ 1 เกี่ยวข้องกับยาเสพติดให้โทษเพิ่งทราบในขณะที่จำเลยที่ 2 เดินซื้อของอยู่กับจำเลยที่ 1 ในห้างสรรพสินค้าคาเธ่ย์ แต่จำเลยที่ 2 ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์ใด ๆ จากการกระทำของจำเลยที่ 1เพียงแต่เมื่อจำเลยที่ 1 ได้รับเงินจากการขายเฮโรอีนได้ส่งมาให้จำเลยที่ 2 เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยที่ 2 ด้วย เห็นว่าโจทก์มีร้อยตำรวจโทอำนาจ ร้อยตำรวจโทสมพงษ์และนายดาบตำรวจอภิสิทธิ์ผู้ร่วมจับกุมจำเลยทั้งสองเบิกความสอดคล้องต้องตรงกันยืนยันว่า พยานโจทก์ทั้งสามได้แอบซุ่มดูขณะที่สายลับล่อซื้อเฮโรอีนจากจำเลยที่ 1 โดยอยู่ห่างประมาณ 8 ถึง 10 เมตรเห็นสายลับเข้าไปพูด กับจำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 หันไปพูดกับจำเลยที่ 2 จากนั้นจำเลยที่ 2 เดินเข้าไปในถนนมังกรสักครู่ก็กลับออกมาส่งถุงพลาสติกให้จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 หยิบกล่องกระดาษจากถุงออกส่งให้สายลับ สายลับส่งธนบัตรให้จำเลยที่ 2 เมื่อสายลับให้สัญญาณและนำเฮโรอีนที่ล่อซื้อได้มามอบให้จึงเข้าตรวจค้นและจับจำเลยทั้งสองและร้อยตำรวจโทสมพงษ์ยังเบิกความด้วยว่าขณะจับกุมพบธนบัตรที่ใช้ล่อซื้อทั้งหมดที่มือขวาของจำเลยที่ 2ทั้งยังได้ความจากพยานโจทก์ทั้งสามดังกล่าวว่าเหตุที่มีการจับกุมจำเลยทั้งสองได้ก็เพราะได้มีการสืบทราบและวางแผนจับกุมมาก่อน และที่เกิดเหตุมีแสงไฟฟ้าส่องสว่างจึงน่าเชื่อว่าพยานโจทก์ดังกล่าวเห็นจำเลยที่ 2 ส่งถุงพลาสติกใส่เฮโรอีนให้จำเลยที่ 1ขายให้แก่สายลับและจำเลยที่ 2 รับเงินที่ล่อซื้อจากสายลับจริงชั้นจับกุมจำเลยที่ 2 ก็ให้การรับสารภาพ พยานโจทก์จึงมีน้ำหนักควรแก่การรับฟัง ที่จำเลยที่ 2 ฎีกาอ้างว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องหรือได้รับประโยชน์ใด ๆ จากการที่จำเลยที่ 1 ขายเฮโรอีน เพียงแต่จำเลยที่ 1 ส่งเงินที่ได้รับจากการขายเฮโรอีนให้จำเลยที่ 2เจ้าพนักงานตำรวจจึงจับจำเลยที่ 2 นั้น ไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานโจทก์พยานหลักฐานโจทก์ฟังได้ว่า จำเลยที่ 2 ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดตามฟ้องส่วนที่จำเลยที่ 2 ฎีกาขอให้ลงโทษเบากว่าจำเลยที่ 1 นั้น ศาลฎีกาเห็นว่าศาลอุทธรณ์กำหนดโทษจำเลยที่ 2 เหมาะสมแล้ว ไม่มีเหตุที่จะเปลี่ยนแปลงแก้ไขฎีกาของจำเลยที่ 2 ฟังไม่ขึ้น”
พิพากษายืน

Share