แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา
ย่อสั้น
คดีต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลยในการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าฟ้องโจทก์เฉพาะ กระทงความผิดฐานผลิตกัญชาหรือปลูกต้นกัญชาและกระทงความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาที่ปลูกไว้ดังกล่าวนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องอ้างว่าการกระทำผิดสองฐานนี้เป็นความผิดต่างกระทงต่างกรรมกันจำเลยให้การรับสารภาพ และศาลล่างลงโทษมาเป็นสองกรรมก็ตาม แต่ความผิดทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมาศาลฎีกาก็ยกขึ้นแก้ไขเสียให้ถูกต้องได้และเมื่อได้ยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้ว แม้จำเลยจะฎีกาขึ้นมาเพียงขอให้รอการลงโทษ ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงและต้องห้าม ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจวินิจฉัยปัญหาข้อเท็จจริงรวมข้อดุลพินิจในการกำหนดโทษต่อไปได้ด้วย
(ประชุมใหญ่ครั้งที่9/2527)
ย่อยาว
โจทก์ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2525 จำเลยมีอาวุธปืนลูกซองสั้นไม่มีเครื่องหมายทะเบียน 1 กระบอกและกระสุนปืน 2 นัด ไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต และจำเลยผลิตกัญชาโดยปลูกต้นกัญชาไว้ในบริเวณบ้านของจำเลยจำนวนหลายต้น จำเลยมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาที่จำเลยปลูกไว้ดังกล่าวเป็นกัญชาสด 1 มัด หนัก 5 กิโลกรัม และกัญชาแห้ง 1 ห่อ หนัก 1 กรัมและจำเลยเสพกัญชาที่มีไว้โดยการสูบเข้าร่างกาย ขอให้ลงโทษตามพระราชบัญญัติอาวุธปืน เครื่องกระสุนปืน วัตถุระเบิด ดอกไม้เพลิง และสิ่งเทียมอาวุธปืน พ.ศ. 2490 มาตรา 7, 72 คำสั่งคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 45 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 ข้อ 6 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522มาตรา 4, 7, 26, 57, 75, 76, 92, 102 ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91, 32ริบของกลางทั้งหมดด้วย
จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษ ฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต จำคุก 1 ปี 6 เดือน และปรับ 4,000 บาทฐานผลิตกัญชา ให้จำคุก 2 ปี และปรับ 20,000 บาท ฐานมีกัญชาไว้ในความครอบครอง จำคุก 6 เดือน และปรับ 2,000 บาท และฐานเสพกัญชา ให้จำคุก6 เดือน และปรับ 600 บาท รวม 4 กระทง เป็นจำคุก 4 ปี 6 เดือน และปรับ26,600 บาท จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78 กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 2 ปี 3 เดือน และปรับ 13,300 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56ไม่ชำระค่าปรับจัดการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 29, 30 ของกลางริบ
โจทก์อุทธรณ์ขอไม่ให้รอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์เห็นว่า ไม่สมควรรรอการลงโทษ พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษฐานมีอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนไว้ในความครอบครอง จำคุก 1 ปี ฐานผลิตกัญชา จำคุก 2 ปี ฐานมีกัญชา จำคุก 1 เดือน และฐานเสพกัญชาจำคุก 1 เดือน รวมเป็นจำคุก 3 ปี 2 เดือน จำเลยให้การรับสารภาพลดโทษให้กึ่งหนึ่ง คงจำคุก 1 ปี 7 เดือน นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น
จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษ
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า คดีนี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายืนกันมาในข้อที่ว่าจำเลยมีความผิดรวม 4 กระทงตามฟ้อง เพียงแต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้โทษที่ศาลชั้นต้นแก่จำเลยและไม่รอการลงโทษเท่านั้น แต่โทษที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงแก่จำเลยในแต่ละกระทงก็ยังจำคุกไม่เกิน 1 ปี และปรับไม่เกิน10,000 บาท คดีจึงต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2518 มาตรา 6ศาลฎีกาโดยมติที่ประชุมใหญ่เห็นว่าคดีนี้ศาลชั้นต้นสั่งรับฎีกาของจำเลย และในการพิจารณาของศาลฎีกาปรากฏว่าฟ้องโจทก์เฉพาะกระทงความผิดฐานผลิตกัญชาหรือปลูกต้นกัญชาและกระทงความผิดฐานมีไว้ในครอบครองซึ่งกัญชาที่ปลูกไว้ดังกล่าวนั้น แม้โจทก์จะบรรยายฟ้องอ้างว่าการกระทำผิด 2 ฐานนี้เป็นความผิดต่างกระทงต่างกรรมกัน และจำเลยให้การรับสารภาพก็ตามแต่ความผิดทั้ง 2 ฐานความผิดดังกล่าวก็เป็นความผิดกรรมเดียวกัน ปัญหาดังกล่าวนี้เป็นข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยจะมิได้ฎีกาขึ้นมา ศาลฎีกาก็เห็นควรยกขึ้นแก้ไขเสียให้ถูกต้อง และเมื่อได้ยกปัญหาข้อกฎหมายดังกล่าวขึ้นวินิจฉัยแล้ว แม้จำเลยจะฎีกาขึ้นมาเพียงขอให้รอการลงโทษ ซึ่งเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงรวมข้อดุลพินิจในการกำหนดโทษต่อไปได้ด้วย ซึ่งในคดีนี้ปรากฏว่าอาวุธปืนและกระสุนปืนที่จำเลยมีไว้ในครอบครองนั้น จำเลยเพียงแต่ครอบครองไว้ในบ้านช่องของจำเลยมิได้พกพาไปในที่สาธารณะให้เป็นที่หวาดเสียวหรือกระทบกระเทือนต่อความสงบสุขของประชาชน ส่วนกัญชาที่จำเลยปลูกไว้ก็ไม่ปรากฏตามฟ้องโจทก์ว่ามีกี่ต้นแน่ เพียงแต่เมื่อรวมน้ำหนักกัญชาที่จำเลยปลูกไว้แล้วได้น้ำหนักเป็นกัญชาสด 5 กิโลกรัม และกัญชาแห้ง 1 กรัม ทั้งกัญชาที่จำเลยเสพก็คือกัญชาที่จำเลยปลูกขึ้นและมีไว้ดังกล่าวนั่นเอง กัญชาดังกล่าวมีจำนวนไม่มาก ส่อแสดงให้เห็นว่าจำเลยปลูกไว้เพื่อเสพและข้อเท็จจริงตามฟ้องก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยปลูกและมีกัญชาตามฟ้องไว้เพื่อจำหน่ายแต่อย่างใด จำเลยไม่เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน และจำเลยต้องจำคุกตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์มาเป็นเวลาเกือบหนึ่งปี พอจะรู้สึกตัวกลัวผิดแล้ว ประกอบกับโดยพฤติการณ์แห่งคดีดังกล่าวมา คดีมีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยตามที่จำเลยฎีกาขึ้นมา
พิพากษาแก้เป็นว่า ความผิดฐานผลิตกัญชาและมีกัญชาไว้ในครอบครองตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 26 วรรคแรก ซึ่งมีโทษตามมาตรา 75 และ 76 วรรคแรก ตามลำดับที่โจทก์ฟ้องจำเลยนั้น เป็นความผิดกรรมเดียวกันให้ลงโทษจำเลยฐานผลิตกัญชาซึ่งเป็นบทหนักที่สุด ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 90 และให้รอการลงโทษทั้งหมดของจำเลยไว้มีกำหนด 2 ปี ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 56 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์