คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 995/2491

แหล่งที่มา : กองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลฎีกา

ย่อสั้น

นิติบุคคล หาจำต้องจำกัดว่าอยู่ใน 6 จำพวกดังที่กล่าวไว้ใน ม.72 ป.ม.แพ่ง ฯ ไม่ มาตรา 68 ได้บัญญัติไว้เป็นทำนองว่า นิติบุคคลจะมีขึ้นได้ไม่ฉะเพาะแต่ต้องอาศัยอำนาจแห่งบทบัญญัติของ ป.ม.แพ่ง ฯ อย่างเดียว อาจอาศัยอำนาจกฎหมายอื่นก็ได้
สุขาภิบาลหัวเมืองจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ดู พ.ร.บ.จัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127.
เมื่อพิจารณาบทบัญญัติแห่งมาตรา 4, 8, 9, 10, 11 แห่ง พ.ร.บ.จัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ. 127 แล้ว พึงเห็นได้ว่า เงินภาษีโรงร้านที่พระราชทานให้เก็บใช้ในการตั้งสุขาภิบาลนั้นก็ดี หรือว่าเงินผลประโยชน์อย่างอื่นที่จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ฉะเพาะในการสุขาภิบาลนั้นก็ดี สุขาภิบาลมีกรรมสิทธิในเงินเหล่านั้นได้เช่นบุคคลในกฎหมาย ซึ่งอาจจะถือได้ว่าสุขาภิบาลเป็นนิติบุคคลเพื่อการมีสิทธิในเงินดังกล่าวแล้ว
มาตรา 69 ป.ม.แพ่ง ฯ บัญญัติว่านิติบุคคลย่อมมีสิทธิ์และหน้าที่ต่าง ๆ ตามบทบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมาย ในขอบวัตถุประสงค์ของตน ดังมีกำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง ดังนี้เมื่อพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลอันเป็นตราสารจัดตั้งสุขาภิบาลได้กำหนดให้สุขาภิบาลมีสิทธิแต่เพียงที่จะเกี่ยวกับเงินที่จะพระราชทานให้เท่านั้น สุขาภิบาลนั้นหามีสิทธิแสวงหาประโยชน์ในทางอื่น เช่น บุคคลธรรมดาไม่
ในดินที่พิพากในคดีนี้ แม้จะถือว่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่า สุขาภิบาลก็ไม่มีสิทธิจะเข้าจับจองถือเอา เพื่อกรรมสิทธิ์แก่สุขาภิบาล โดยฉะเพาะเพราอยู่นอกวัตถุประสงค์ของตราสารจัดตั้งสุขาภิบาล
คำพิพากษาวึ่งในที่สุดจะต้องเป็นเรื่องชี้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้น ย่อมใช้ผูกพันประชาชนได้ทั่วไป จึงเป็นข้อที่เกี่ยวกับความสงบเรียกร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อสุขาภิบาลไม่มีสิทธิอย่างนิติบุคคล ในอันที่จะจับจองหรือถือเอาที่ดินที่ไม่มีผู้ปกครอง เพื่อกรรมสิทธิฉะเพาะตนในอันที่จะแสวงผลกำไรสู่ตนโดยไม่ใช่การต่าง ๆ ที่ พ.ร.บ.จัดการตั้งสุขาภิบาลตามหัวเมือง มอบหน้าที่ไว้ ศาลย่อมจะพิพากษาให้เกิดผลในที่ดินนั้นเป็นกรราสิทธิของสุขภิบาลไม่ได้

ย่อยาว

ความว่าที่พิพามเดิมมีเจ้าของครอบครองอยู่แล้ว หลวงประเทศฯได้รับซื้อทั้งที่ดินและตึกแถวไว้ ๔ ห้อง ต่อมาบริษัททุ่งคาคัมปาวน์เข้ามาทำเหมืองแร่ ทางฝ่ายบ้านเมืองพิจารณาให้บริษัทใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของที่ดินเหล่านั้น ตึกของหลวงประเทศ ฯ ก็ถูกทำลายเพราะการทำเหมืองด้วย บริษัทฯ ทำเหมืองได้ ๖ – ๗ ปีก็เลิกไป ที่พิพาทกลายเป็นที่สุ่ม หลวงประเทศฯ ได้เข้าครองครองและถมที่ขึ้นจนเสมอระดับถนนและปลูกเรืองครอบคอรงและถมที่ขึ้นจนเสมอระดับถนนและปลูกโรงเรือนครอบครองตลอดมา เมื่อ พ.ศ.๒๔๗๘ หลวงประเทศฯ ร้องขอต่อพนักงานที่ดินให้รังวัดที่พิพาทออกโฉนดแผนที่ สุขาภิบาลเมืองภูเก็ตได้ไปร้องคัดค้าน เจ้าพนักงานที่ดินสั่งให้สุขาภิบาลเมืองภูเก็ตฟ้องศาล ประธานกรรมการสุขาภิบาลเมืองภูเก็ตได้ฟ้องหลวงประเทศฯ เป็นจำเลยต่อศาล แต่ในที่สุดศาลจำหน่ายคดีออกจากสารบบความ เพราะไม่มีตัวโจทก์ ได้มีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งเทศบาลเมืองภูเก็ตโอนทรัพย์สินตลอดจนสิทธิและหน้าที่ของสุขาภิบาลมาเป็นของเทศบาล ๆ พยายามตกลงกับหลวงประเทศฯ โดยจะให้หลวงประเทศฯ ทำสัญญาเช่า แต่ยังไม่เป็นที่ตกลงกันได้ ในที่สุดหลวงประเทศฯ ตาย โจทก์เป็นผู้ขอรับมฤดกเมื่อ พ.ศ.๒๔๘๘ เทศบาลเมืองภูเก็ตร้องขอรังวัดออกโฉนดแผนที่สำหรับที่พิพาทนี้ โจทก์ได้ร้องคัดค้าน คราวนี้เจ้าพนักงานสั่งให้โจทก์เป็นผู้ฟ้อง โจทก์จึงฟ้องเป็นคดีนี้ ขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นมฤดกตกทอดของหลวงประเทศฯ และห้ามไม่ให้จำเลยเข้าเกี่ยวข้อง จำเลยต่อสู้ว่าที่ดินเป็นของเทศบาล และฟ้องแย้งว่าหลวงประเทศฯ ปลูกโรงขึ้นในที่ดินนี้โดยได้รับอนุญาตจากข้าหลวงประจำจังหวัด และขอให้บังคับขุนนิเทศรื้อเรือนโรง และเรียกค่าเช่า
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า ที่นี้ไม่ใช่ของสุขภิบาลเมืองภูเก็ต เพราะสุขาภิบาลไม่ใช่บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคล เมื่อเป็นเช่นนี้ เทศบาลเมืองภูเก็ตก็ไม่ใช่เจ้าของที่นี้ ฝ่ายขุนนิทเทศมีหลักฐานว่า หลวงประเทศฯเมื่อยังมีชีวิตอยู่ เป็นผู้ครอบครองที่นี้ ต่อมาขุนนิทเทศครอบครอง พิพากษาให้ขุนนิเทศชนะคดี และห้าไม่ให้เทศบาลเกี่ยวข้องในที่รายนี้ ให้ถอนคำขอรับโฉนด
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน
จำเลยฎีกา
ศาลฎีกาวินิจฉัยว่า นิติบุคคลหาจำต้องจำกัดว่าอยู่ใน ๖ จำพวกดังที่กล่าวไว้ในมาตรา ๗๒ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ มาตรา ๖๘ ได้บัญญัติไว้เป็นทำนองว่า นิติบุคคลจะมีขึ้นได้ไม่ฉะเพาะแต่ต้องอาศัยอำนาจแห่งบทบัญญัติของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์อย่างเดียว อาจอาศัยอำนาจกฎหมายอื่นก็ได้
สุขาภิบาลเมืองจะเป็นนิติบุคคลหรือไม่ ต้องพิเคราะห์ดูกฎหมายที่จัดตั้งสุขาภิบาลนั้น ๆ ขึ้นว่า ได้มีบทบัญญัติให้สุขาภิบาลนั้นมีสิทธิและหน้าที่ตามกฎหมายต่างหากจากบุคคลธรรมดาหรือไม่ กฎหมายที่ว่านี้ก็คือ พ.ร.บ.จัดการสุขาภิบาลตามหัวเมือง ร.ศ.๑๒๗ มาตรา ๔ ซึ่งบัญญัติถึงความหมายของการสุขาภิบาล ทรงพระกรุณาโปรดเกล่าฯ พระราชทานผลประโยชน์ที่เก็บได้จากภาษีโรงร้านในท้องที่สุขาภิบาล ให้ใช้จ่ายในการสุขาภิบาลนั้น มาตรา ๑๑ สุขาภิบาลสำหรับหัวเมืองหนึ่งให้มีกรรมการ ๙ คน ดังนี้ จะเห็นได้ว่า พ.ร.บ.จัดการสุขาภิบาลนั้น มุ่งประสงค์แต่จะจัดวางวิธีการให้มีอภิบาลความสุขของราษฎรในท้องที่ขึ้นเท่านั้น แต่ความในมาตรา ๙, ๑๐ มีบัญญัติต่อไปว่า “การเก็บภาษีสำหรับใช้ในการสุขาภิบาลนั้น ฯลฯ เมื่อหักเงินที่ใช้จ่ายที่รัฐบาลต้องเสียไปในการเก็บส่งพระคลังเหลือเท่าใดเป็นของสุขาภิบาล” และว่า “เงินโรงร้านที่พระราชทานให้เก็บใช้ฉะเพาะในการสุขาภิบาลนั้นก็ดี หรือว่าเงินผลประโยชน์อย่างอื่นที่จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ฉะเพาะในการสุขาภิบาลนั้นก็ดี ให้ยกออกเป็นแผนกหนึ่งต่างหากจากผลประโยชน์ในราชการแผ่นดิน” ข้อความเหล่านี้อาจวินิจฉัยได้ว่า บทกฎหมายดังกล่าว ได้บัญญัติให้สุขาภิบาลมีกรรมสิทธิในเงินเหล่านั้น เช่นบุคคลตามกฎหมาย ซึ่งอาจจะถือว่าสุขาภิบาลเป็นนิติบุคคลเพื่อการมีเงินดังกล่าวแล้ว ป.ม.แพ่งฯ มาตรา ๖๙ บัญญัติว่า นิติบุคคลย่อมมีสิทธิและหน้าที่ต่าง ๆ ตามบัญญัติทั้งปวงแห่งกฎหมายภายในขอบวัตถุประสงค์ของตนดังที่กำหนดไว้ในข้อบังคับหรือตราสารจัดตั้ง ดังนี้เมื่อพระราชบัญญัติจัดการสุขาภิบาลอันเป็นตราสารจัดตั้งสุขาภิบาล ได้กำหนดให้สุขาภิบาลมีสิทธิแต่เพียงที่เกี่ยวกับเงินที่จะพระราชทานให้เท่านั้น หามีสิทธิแสวงหาประโยชน์ในทางอื่น เช่นบุคคลธรรมดาไม่ ในคดีนี้ จำเลยอ้างว่าที่ดินนั้นเป็นของจำเลย โดยสุขาภิบาลได้เข้าถือเอาหรือครอบครองไว้เพื่อการเป็นเจ้าของแต่ลำพังตน แม้จะถือว่าว่าเป็นที่รกร้างว่างเปล่า สุขาภิบาลก็ไม่มีสิทธิที่จะเจ้าจับจองถือเอาเพื่อกรรมสิทธิแก่สุขาภิบาล โดยฉะเพาะเพราะอยู่ภายนอกของวัตถุประสงค์ของตราสารจัดตั้งการสุขาภิบาลนั้น การกระทำของสุขาภิบาลถึงหากจะถือว่าสุขาภิบาลเป็นนิติบุคคล ก็เป็นการกระทำที่เป็นโมฆะเสียเปล่าใช้ไม่ได้ไม่ เป็นการกระทำที่จะรับบังคับบัญชาให้ได้ตามกฎหมาย
อนึ่ง ความข้อนั้นมิได้มีฝ่ายใดยกขึ้นเป็นข้อว่ากล่าวมาโดยตรง แต่ศาลฎีกาเห็นว่า คำพิพากษาซึ่งในที่สุดจะต้องเป็นเรื่องชี้กรรมสิทธิในทรัพย์สินนั้น ย่อมผูกพันประชาชนได้ทั่วไป จึงเป็นข้อเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน เมื่อสุขาภิบาลไม่มีสิทธิอย่างนิติบุคคลในอันที่จะจับจองหรือถือเอาที่ดินที่ไม่มีผู้ครอบครอง เพื่อเป็นกรรมสิทธิฉะเพาะตนในอันที่จะแสวงหาผลกำไรสู่ตน ไม่ใช่การต่าง ๆ ตามที่ พ.ร.บ.มอบหน้าที่ได้กล่าวไว้ ศาลย่อมจะพิพากษาให้เกิดผลในที่ดินนั้นเป็นกรรมสิทธิของสุขาภิบาลไม่ได้
พิพากษายืน

Share